วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ระวัง! สารปนเปื้อนใน ‘ครีมเทียม’

ใช้และเก็บไม่ดี เสี่ยงเชื้อก่อโรค

วันนี้คอกาแฟทั้งหลายโปรดระวัง อันตรายที่อาจเกิดขึ้นในถ้วยกาแฟ เดากันไปต่างๆ นานา ว่าอะไรที่ต้องระวัง กาแฟ น้ำ ครีม หรือน้ำตาล เฉลยกันเลยแล้วกันว่า วันนี้จึงขอนำเสนอเรื่องของครีมเทียม

ครีมเทียม ที่เรากินกันอยู่เป็นประจำนั้น เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ทำมาจากนม และมีไขมันอื่นๆ นอกจากมันเนยเป็นส่วนประกอบ หรือครีมที่มีมันเนยผสมอยู่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของไขมันทั้งหมด ส่วนใหญ่ไขมันที่ผู้ผลิตนิยมใช้ผลิตครีมเทียมจะเป็นไขมันปาล์ม และไขมันจากพืช เนื่องจากสามารถละลายได้อย่างรวดเร็วในถ้วยกาแฟ แถมยังมีรสชาติถูกปาก ถูกคอ นักดื่มกาแฟทั้งหลาย

จะว่ากันไปแล้วไม่น่าจะเป็นอันตรายอะไร เพราะส่วนใหญ่ผู้ผลิตครีมเทียมเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ซึ่งต้องใส่ใจเรื่องระบบคุณภาพและกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง

คราวนี้ ต้องมาดูที่ปลายทางคือ ผู้บริโภคอย่างเราๆ ว่ามีวิธีการใช้และเก็บอย่างไร เพราะว่าถ้าใช้และเก็บรักษาไว้ไม่ดี อาจทำให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย เช่น เชื้อ ซาลโมเนลลาและคลอสทริเดียม เปอร์ - ฟริงส์เจนได้อย่างง่ายๆ

ที่บอกว่าใช้และเก็บไม่ดีนั้นคือ บางทีเราไปซื้อครีมเทียมที่เค้าแบ่งขายเป็นห่อหรือซอง เราก็อาจไม่ได้สังเกตว่ามีรูรั่วตรงไหนบ้าง หรืออาจละเลยจนถึงขั้นลืมดูวันหมดอายุ บางครั้งซื้อมาห่อใหญ่ๆ ปริมาณมากๆ แล้วแบ่งใส่ขวดหรือโหลเก็บไว้ พอชงกาแฟก็ใช้ช้อนที่เปียกหรือไม่สะอาดตัก ตรงนี้เองที่อาจทำให้เชื้อก่อโรคปะปนลงในครีม

เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงระบบคุณภาพการผลิตอาหารว่าของไทยยังเยี่ยมยอดอยู่ สถาบันอาหารจึงได้ทำการสุ่มตัวอย่างครีมเทียม จำนวน 5 ตัวอย่าง เพื่อนำมาวิเคราะห์การปนเปื้อนของจุลินทรีย์สองชนิดนี้ ผลเป็นอย่างไร? ดูกันได้ดังตาราง

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บริโภคน้ำตาลให้เป็น (ประโยชน์)

ทานแต่พอดี ช่วยรักษาสมดุลร่างกายได้ด้วย

"อย่ากินน้ำตาลมากนะ เดี๋ยวอ้วน"

"กินของหวานมากเดี๋ยวก็เป็นโรคเบาหวานหรอก"

เสียงพร่ำเตือนที่คุ้นเคยที่ทำเอาเราชะงักทุกครั้งเวลาที่กำลังจะหยิบเอาน้ำตาลเติมในกาแฟชาหรือแม้แต่ขนมหวานๆ ที่จริงรสนิยมการชอบความหวานนั้นมันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล หากรับประทานอย่างพอดีน้ำตาลก็จะส่งผลดีต่อร่างกาย เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่หาง่ายและใกล้ชิดกับคนมากที่สุด

ดร.เนตรนภิส วัฒนสุชาตินักวิจัยสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า สังคมไทยในปัจจุบันถือเป็นสังคมแห่งการบริโภค ซึ่งมีผู้คนในสังคมจำนวนไม่น้อยที่ยังยึดติดกับค่านิยมในการบริโภคแบบผิดๆ อยู่ ส่งผลให้เกิดโรคร้ายตามมามากมาย เช่น โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น ซึ่งโรคร้ายเหล่านี้ปัจจุบันไม่ได้เป็นกันเฉพาะแต่วัยผู้ใหญ่แล้ว วัยเด็กก็มีโอกาสและความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคร้ายก็มากขึ้นด้วย

ดังนั้นทุกคนต้องสร้างนิสัยการกินใหม่ให้ถูกต้อง โดยต้องเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งถือเป็นวัยที่ต้องการสารอาหารที่มีคุณค่าในการเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง โดยที่ผ่านมาพบว่า เด็กไทยส่วนใหญ่ยังนิยมบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณที่สูงเกินความจำเป็น ซึ่งหากรู้จักบริหารความหวาน คือ การรับประทานน้ำตาล ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ก็จะเกิดประโยชน์กับร่างกาย

"การบริโภคอาหารที่ไม่สมดุลเกินปริมาณความต้องการของร่างกาย ย่อมส่งผลร้ายต่อสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะผู้บริโภคที่เป็นเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นวัยที่ต้องการสารอาหารที่มีคุณค่าเพื่อพัฒนาการเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง" ดร.เนตรนภิส กล่าว

นักวิจัยสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวต่อว่า น้ำตาลถือเป็นอาหารที่มีความจำเป็น และมีความต้องการในชีวิตประจำวันของคนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่ง่ายและใกล้ชิดกับคนมากที่สุด โดยจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติการบริโภคในครัวเรือนเฉลี่ยใน 7 วัน ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมการใช้จ่ายบริโภคน้ำตาลและความหวานเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นจาก 24.10 บาทในปี 2545 เป็น 26.50 บาท ในปี 2549

ขณะเดียวกันข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ระบุว่า การบริโภคน้ำตาลของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นเช่นกันโดยปี 2537 มีการบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยอยู่ที่ 23.2 กิโลกรัมต่อคนต่อปีขณะที่ปี 2548 มีการบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยอยู่ที่ 32.3 กิโลกรัมต่อคนต่อปีหรือโดยเฉลี่ยคนไทยจะบริโภคน้ำตาลวันละประมาณ 22 ช้อนชาหรือ 88 กรัม

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ระบุว่า ในแต่ละวันร่างกายควรได้รับน้ำตาลในปริมาณ 10% ของปริมาณพลังงานที่ใช้ในแต่ละวัน เช่น ควรได้รับพลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี่ ส่วนหนึ่งมาจากน้ำตาลที่เติมในอาหารร้อยละ 10 คือเท่ากับ 200 กิโลแคลอรี่หรือเทียบเท่ากับน้ำตาลทราย 50 กรัมประมาณ 10 ช้อนชาแต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนด้วย ซึ่งถ้าเป็นคนที่ออกกำลังกายมากๆ หรือใช้แรงงานมากๆในแต่ละวันและไม่เป็นโรคเบาหวานก็สามารถรับประทานน้ำตาลมากกว่าร้อยละ 10 ของพลังงานได้

จะเห็นได้ว่าน้ำตาลก็ใช่จะไร้ประโยชน์เสมอไป การบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่พอดีจะช่วยรักษาสมดุลให้แก่ร่างกายและไม่ก่อให้เกิดอันตรายอย่างที่เรากลัวกัน

ที่มา: หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไม่ใช่แค่กินอร่อย แต่ยังมีคุณค่าทางยาด้วย!

เผยอาหารดูดสารพิษ คุณค่าอาหารสูง

จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal ยืนยันว่า สาหร่าย สามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้

ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ สาหร่ายจะช่วย ดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก

ขณะที่การวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่าผลอโวคาโดมีสารกลูตาทโอน (Glutathione) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan) พบว่าผู้สูงอายุที่กินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

ส่วนอัลมอนด์เป็นถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน แต่ก็เป็นไขมันที่ดี และจำเป็นต่อร่างกายในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย (Hyperglycemia) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างที่เรียกว่า ไฮโปไกล ซีเมีย (Hypoglycemia) จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก

ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อาหารก่อมะเร็ง” ระวังก่อนเข้าปาก!!

ฉลาดเลือก-ฉลาดกิน คาถาป้องกันโรค

โรคมะเร็ง นับเป็นสาเหตุการเสียชีวิตในลำดับต้นๆ ของคนทั่วโลก สามารถเกิดขึ้นได้กับอวัยวะทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นสมอง ปอด ตับ กระดูก ลำไส้ เต้านม หรือกล่องเสียง ซึ่งยังไม่สามารถระบุถึงตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคได้อย่างชัดเจน แต่ก็มีข้อมูลแน่ชัดในเรื่องของอาหารการกินว่าสามารถทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ เนื่องมาจากพฤติกรรมการกินอาหาร เช่น กินอาหารที่ก่อมะเร็งหรือไม่ กินอาหารซ้ำซากหรือไม่ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หากผู้บริโภคได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง

อาหารก่อมะเร็ง คืออาหารที่กินแล้วทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ที่กล่าวถึงบ่อยๆ ว่าเป็นตัวการสำคัญให้เกิดโรคมะเร็งก็คืออาหารประเภทไขมัน ซึ่งมีข้อมูลการวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าการกินอาหารที่มีไขมันสูงมากๆ เป็นประจำทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้

โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก จึงไม่ควรกินอาหารที่มีไขมันสูงบ่อยๆ หรือเป็นประจำ นอกจากเสี่ยงต่อโรคมะเร็งแล้วยังทำให้อ้วนและเกิดโรคอื่นๆ เช่น ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด และในปัจจุบันยังมีรายงานการวิจัยระบุว่าการกินเนื้อสัตว์ที่มีสีแดงในปริมาณมากๆ เป็นประจำจะทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งมากกว่าการกินไขมันเสียอีก ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคมะเร็งด้วยสาเหตุข้างต้นจึงควรเดินทางสายกลางในการบริโภคอาหาร

อาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อรา โดยเฉพาะเชื้อราที่ชื่อ "แอสเปอจิลลัส เฟวัส" พบว่ามีอันตรายสูง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ เชื้อราชนิดนี้จะสร้างสารพิษอะฟล่าท็อกซินซึ่งทนทานต่อความร้อนสูงได้มากถึง 260 องศาเซลเซียส ดังนั้นความร้อนในอุณหภูมิที่เราใช้หุงต้มคือจุดเดือด 100 องศาเซลเซียสจึงไม่สามารถทำลายสารพิษชนิดนี้ได้

สารพิษอะฟล่าท็อกซิน พบได้ในถั่วลิสง พริกแห้ง หอม กระเทียม เป็นต้น การเลือกซื้อหรือเลือกบริโภคอาหารดังกล่าวจึงต้องมั่นใจว่าอาหารนั้นๆ แห้งสนิท ไม่มีเชื้อรา ถั่วลิสงป่นหรือพริกแห้งป่นที่ป่นทิ้งไว้และเก็บรักษาไม่ดี ไม่แห้งสนิท และไม่มีฝาปิดมิดชิด มักพบว่ามีสารพิษชนิดนี้ปะปนอยู่

โดยมีงานวิจัยของสถาบันวิจัยโภชนาการได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับสารพิษอะฟล่าท็อกซินในถั่วลิสงป่นในก๋วยเตี๋ยวต้มยำ พบว่าในก๋วยเตี๋ยวต้มยำ 100 ชามมีสารพิษอะฟล่าท็อกซินเจือปนอยู่ถึง 92 ชาม ซึ่งนับว่าอันตรายมาก ฉะนั้นเมื่อกินก๋วยเตี๋ยวหากไม่มั่นใจว่าเป็นถั่วที่คั่วใหม่ๆ ก็ไม่ควรกิน แต่ถ้าเป็นคนที่นิยมกินถั่วลิสงควรเลือกซื้อถั่วเมล็ดที่สมบูรณ์และแห้ง นำมาคั่วและป่นกินเองจะปลอดภัยกว่าถั่วป่นในชุดเครื่องปรุงตามร้านก๋วยเตี๋ยว และเมื่อไม่นานมานี้ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการสำรวจน้ำผัก น้ำผลไม้ และชาเขียว ก็พบว่าในน้ำองุ่นมีสารพิษจากเชื้อราเจือปนอยู่ด้วย

ยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหาร แล้วคนกินทุกวันๆ ร่างกายขับทิ้งไม่ทันก็เกิดการสะสม จนในที่สุดทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้ และในปัจจุบันการเพาะปลูกมีการใช้ยาฆ่าแมลงมาก โดยพบว่าในคะน้า พริกสด กวางตุ้ง กะหล่ำปลี ล้วนมียาฆ่าแมลงตกค้าง ดังนั้นเมื่อซื้อมาปรุงอาหารจึงควรล้างให้สะอาด

ทั้งยังมีข่าวน่าตกใจที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ก็คือมีพ่อค้าขายปลาหมึกแห้งใช้ยาฆ่าแมลงฉีดพ่นปลาหมึกแห้งเพื่อป้องกันแมลงวันมาตอม ซึ่งการกระทำดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อผู้บริโภคและผิดกฎหมายด้วย สิ่งเหล่านี้เราต้องพยายามหลีกเลี่ยง โดยเลือกซื้ออาหารจากร้านที่เรามั่นใจว่ามีความสะอาดและมีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค สำหรับผักและผลไม้ต้องล้างจนมั่นใจว่าสะอาดจริงๆ

อาหารที่ปนเปื้อนสารเจือปนในอาหาร หรือสารที่ไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร ล้วนเป็นสารก่อมะเร็งได้ ซึ่งสารเจือปนที่อนุญาตให้ใส่ในอาหารได้ ได้แก่ ดินประสิว (ไนเตรท, ไนไตรท์) สีผสมอาหาร เป็นต้น แต่ก็ไม่อนุญาตให้ใส่มากเกินไป โดยไนเตรทและไนไตรท์เป็นสารกันบูดที่กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใส่ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ในอัตราส่วนเนื้อสัตว์ 1 กิโลกรัมต่อไนเตรทไม่เกิน 500 มิลลิกรัม ส่วนไนไตรท์ใส่ได้ไม่เกิน 125 มิลลิกรัม แต่สารเจือปนนี้ให้คุณสมบัติทางอ้อม คือ เนื้อที่ใส่ไนเตรทหรือไนไตรท์จะมีสีแดงน่ากินมากขึ้น จึงนิยมใส่สารนี้กันโดยเข้าใจว่าจะทำให้เนื้อมีสีแดงเพิ่มมากขึ้นซึ่งไม่เป็นความจริง อาหารที่มักใส่ดินประสิว ได้แก่ ไส้กรอก แหนม เนื้อสวรรค์ กุนเชียง เป็นต้น

สาเหตุที่ดินประสิวทำให้เกิดสารก่อมะเร็งได้ เพราะในเนื้อสัตว์จะมีสารเอมีน และเมื่อเติมดินประสิวลงไปจะทำปฏิกิริยาให้เกิดสารไนโตรซามีนขึ้น ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ไนโตรซามีนยังเกิดขึ้นได้ภายในกระเพาะอาหารของคนเราเมื่อกินอาหารที่มีไนเตรทตามธรรมชาติ เช่น ผัก และกินร่วมกับเนื้อสัตว์

สีผสมอาหาร ก็ไม่แนะนำให้ใช้มากเกินความจำเป็นหรือกินอาหารที่ใส่สีมากเกินไป ควรใช้สีที่ได้จากธรรมชาติจะปลอดภัย ทั้งยังได้กลิ่นหอมจากพืชหรือสมุนไพรที่เรานำมาเป็นวัตถุดิบในการให้สีเพิ่มขึ้นด้วย และถ้าผู้ผลิตขาดความรับผิดชอบ ใช้สีย้อมผ้าซึ่งให้สีเข้มและราคาถูกก็จะยิ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เพราะทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหารได้

สำหรับสารเจือปนอื่นๆ ซึ่งไม่อนุญาตให้ใส่ในอาหาร แต่ก็มีการแอบใส่หรือแอบใช้กัน เช่น บอแรกซ์หรือผงกรอบ พบได้ในอาหารประเภทลูกชิ้นที่เด้งผิดปกติ ของทอดที่กรอบนานผิดปกติ, สารฟอกขาว พบในขิง ข่าซอย ถั่วงอก เป็นต้น สารเหล่านี้หากกินในปริมาณที่น้อยแต่บ่อยๆ ก็ทำให้เกิดการสะสม ส่งผลให้เสี่ยงต่อมะเร็งได้เช่นกัน

อาหารประเภทปิ้ง ย่าง รมควัน เป็นอีกตัวการสำคัญที่ก่อมะเร็งได้หลายชนิด อาหารปิ้ง - ย่างประเภทที่มีไขมัน เช่น หมูปิ้งหมูย่าง ไก่ปิ้ง เนื้อย่าง เวลาปิ้งหรือย่างจะมีไขมันตกลงไปในถ่านที่กำลังแดง ทำให้เกิดการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดสารพิษที่เรียกว่าสาร PAH หรือโพลีไซคลิก อะโรเมติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon) ทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอด เต้านม และกระเพาะอาหาร เวลากินอาหารเหล่านี้จึงควรตัดส่วนที่ไหม้เกรียมออกให้หมด และไม่ควรกินซ้ำๆ ซากๆ ติดกันทุกวัน

การกินอาหารดิบๆ สุกๆ ก็มีความไม่ปลอดภัย เพราะเสี่ยงต่อการได้รับพยาธิใบไม้ในตับ ซึ่งพบมากในปลาน้ำจืดประเภทปลาเกล็ดขาว ปลาตะเพียน พยาธิชนิดนี้จะเข้าสู่ร่างกายได้เมื่อเรากินปลาที่มีพยาธิและปรุงไม่สุก พยาธิจะทำให้ท่อน้ำดีและขั้วตับเกิดการอักเสบ ส่งผลให้เป็นมะเร็งที่ท่อน้ำดีในตับได้ นอกจากนี้ยังมีพยาธิใบไม้ชนิดอื่นๆ ที่ทำให้เกิดมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ ซึ่งวิธีป้องกันคือกินอาหารที่ปรุงสุกทุกครั้ง

นอกจากนี้การกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์มากเกินไปก็ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้ คือความเสี่ยงของมะเร็งจะเพิ่มขึ้นเมื่อกินเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเนื้อที่มีสีแดง ดังนั้นนักโภชนาการจึงแนะนำให้กินเนื้อสัตว์ที่มีสีขาว ซึ่งได้แก่เนื้อปลา มากกว่าเนื้อหมูหรือเนื้อวัว

เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ และบุหรี่ ก็เป็นตัวการส่งเสริมให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งได้แก่ มะเร็งตับ และมะเร็งปอด ดังนั้นหากหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการดื่มหรือการสูบลงก็จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้

เห็นได้ว่าอาหารที่เรากินประจำก็เป็นอาหารก่อมะเร็งได้โดยที่เราคิดไม่ถึง แต่คุณผู้อ่านไม่ควรกังวล เพราะอาหารบางอย่างเราสามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรืออาหารสุกๆ ดิบๆ แต่บางอย่างที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็คงต้องมีวิธีปฏิบัติเพื่อไม่ให้อาหารเหล่านั้นอยู่ในร่างกายเรานานเกินไปจนเกิดอันตรายได้ นั่นคือจะต้องกินผักและผลไม้ให้มากเพื่อให้ขับถ่ายเป็นประจำ

ผลไม้ที่เลือกกินควรเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยสูง รสไม่หวานมากเกินไป ซึ่งเส้นใยในผักและผลไม้จะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำหน้าที่เหมือนไม้กวาด คอยปัดกวาดลำไส้ไม่ให้สารพิษทำอันตรายต่อร่างกายได้ นอกจากนี้ในผักและผลไม้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ที่ช่วยป้องกันมะเร็งหลายชนิด

ต่อมาคือการเลือกกินอาหารที่มีความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด ไม่กินอาหารที่มีการดัดแปลงหรือใช้สารเคมี หากคุณเป็นคนที่อ่านฉลากทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้ออาหาร จะเห็นว่าผลิตภัณฑ์อาหารอย่างเดียวกัน แต่ยี่ห้อต่างกัน เช่น น้ำปลา จะมีหลากหลายยี่ห้อ เมื่ออ่านฉลากจะพบว่าบางยี่ห้อไม่ใส่สารกันบูด บางยี่ห้อก็ไม่ใส่ผงชูรส เราจึงควรเลือกยี่ห้อที่ไม่ใส่สารกันบูดหรือไม่ใส่ผงชูรสจะดีกว่า

สิ่งที่สำคัญในการหลีกเลี่ยงมะเร็ง คือการดูแลร่างกายให้แข็งแรง จะทำให้เรามีภูมิต้านทานดี โรคภัยต่างๆ ก็มากล้ำกรายยาก และก่อนที่กระทรวงสาธารณสุขจะระบุว่าสารเคมีบางอย่างสามารถใส่ในอาหารได้ในปริมาณหนึ่งๆ ซึ่งปลอดภัยต่อผู้บริโภค ก็ต้องมีการทดลองในสัตว์ทดลองจนมั่นใจว่าปลอดภัยแล้วจึงนำมาใช้กับคน โดยนักวิจัยจะทำการวิจัยในสัตว์ที่แข็งแรงเท่านั้น แต่โดยปกติเรากินอาหารในทุกสภาพของร่างกาย ถ้าเรากินในช่วงที่เจ็บป่วย ปริมาณที่กำหนดว่าปลอดภัยจึงอาจไม่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เป็นได้ ดังนั้นถ้าหลีกเลี่ยงได้จึงเป็นสิ่งดีและปลอดภัยที่สุด

การที่ร่างกายจะแข็งแรงได้ก็ต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่กินอาหารซ้ำซาก ไม่กินอาหารรสจัด และต้องหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ ก็เป็นคาถาที่น่าจะป้องกันมะเร็งได้ผล

ที่มา: ไอ.เอ็น.เอ็น.

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

ทำไมลำไยมา “ตาแดง” ต้องแผลงฤทธิ์?

แนะล้างสารเคมีตกค้างก่อนรับประทานช่วยได้

เกิดเป็นคนไทยนี้แสนโชคดี โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ผลไม้หลากหลาย ฝรั่งต่างชาติยังต้องยกนิ้วให้มานักต่อนักแล้ว นี่หน้าลิ้นจี่เพิ่งจะหมดไปไม่ทันเท่าไหร่ ก็เห็น “ลำไย” ลูกโตๆ ทยอยออกมาวางเรียงรายขายยึดแผงเต็มตลาดไปหมดอีกแล้ว

แต่เพราะด้วยความหวาน กรอบ ยั่วยวนของ “ลำไย” ที่ไม่มีใครยอมปฏิเสธนี่ละสิ ซ้อนด้วยปัญหาที่ฝังเป็นความเชื่อมาตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่ยังเป็นเด็กๆ ด้วยซ้ำ หลายคนคงเคยได้ยินบ่อยๆ เวลาป้อนลำไยเข้าปากลูกก็มักจะมีเสียงลอยตามมาว่า “อย่าให้ทานเยอะนะ เดี๋ยวลูกร้อนใน ตาแฉะ ขี้ตาเยอะ” ทำไมหนา...พอลำไยมาตาแดงตาแฉะต้องแผลงฤทธิ์ทุกที ถ้าใครๆ ก็ต่างคิดแบบนี้ แล้วใครจะช่วยอุดหนุนลำไยปีนี้อีกล่ะ

จากหลากหลายความเชื่อมากมายตั้งแต่การรับประทานลำไยแล้วร้อนใน ขี้ตาเยอะ ทำตาแฉะ แท้จริงตาแฉะในเด็กมีโอกาสเกิดได้ตลอดเวลานะคะ สาเหตุตาแฉะแท้จริงแล้วเกิดจากการที่ตาได้รับเชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่ตามพื้น สนามหญ้า หรือแม้แต่ของเล่นที่เด็กๆ สัมผัสอยู่เป็นประจำ ซึ่งโดยปกติแล้วเจ้าเชื้อที่ว่าก็คงไม่มีความสามารถกระโดดขึ้นมาหาตาของเด็กเอง ถ้าไม่ใช่ตัวเด็กเองใช้มือน้อยๆ ที่เคยไปสัมผัสเชื้อเข้ามาขยี้ตาโดยไม่ได้ทำความสะอาดหรือล้างมือ

พอเมื่อตาได้รับเชื้อเข้า ก็จะทำให้เยื่อบุตาอักเสบเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีแดง มีขี้ตาน้ำตาไหล ที่เราเรียกว่าเด็กตาแฉะ ซึ่งการดูแลรักษาโดยทั่วไปแพทย์จะให้ใช้ยาปฏิชีวนะหยอดหรือป้ายตา ร่วมกับการพักสายตาโดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์จะหาย ไม่ควรขยี้ตาเพราะอาจทำให้กระจกตาดำเป็นแผลและตาบอดได้ ไม่ควรปิดตาเพราะทำให้เชื้อโรคสะสมในตา

ส่วนอีกความเชื่อที่บอกกันว่าการเอาน้ำนมแม่หยอดตาหรือใช้น้ำยาล้างตารักษา ก็ไม่ใช่การรักษาที่ถูกต้อง ยิ่งถ้าเจอใครตาแฉะตาแดงต้องรีบแลบลิ้นใส่ จะได้ไม่ติดตาแดง ก็ไม่มีมูลความจริง เพราะโรคนี้สามารถแพร่เชื้อได้โดยการสัมผัสหรือไปคลุกคลีกับผู้ป่วยเท่านั้นนะคะ การป้องกันทำได้ง่ายๆ คุณพ่อคุณแม่สอนเด็กๆ ให้งดการใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น ทุกครั้งที่จับตาควรล้างมือให้สะอาด ในช่วงที่เป็นตาแดงควรงดการลงเล่นน้ำในสระ เพราะจะแพร่กระจายเชื้อลงในน้ำได้

รวมถึงหน้าลำไยมาถึงแล้ว หมอจึงถือโอกาสนี้ฝากผ่านไปยังคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองว่า ในครั้งต่อไปถ้าจะให้เด็กๆ ได้รับประทานลำไยได้อย่างสบายใจ ไม่หวั่นหรือหวาดกลัวว่าลำไยจะทำลูกร้อนในแล้วตาแฉะ ก็เพียงแต่ให้นำลำไยที่เพิ่งซื้อมาจากตลาดไปล้างทำความสะอาดเศษดิน เศษสกปรกที่อาจมีเชื้อโรคปนเปื้อน หรือสารเคมีตกค้างติดมาให้สะอาดก่อนรับประทาน รับประทานลำไยครั้งหน้าจะได้สบายใจไม่ร้อนในจนตาแฉะ แล้วยังถือว่าเป็นการช่วยเกษตรกร ช่วยชาติไทย ในการช่วยบริโภคผลไม้ไทยได้ดีอีกด้วยค่ะ

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เหงือกปลาหมอ" แก้ปอดอักเสบ

ตำรายาโบราณ บรรเทาสารพัดโรค

ใครที่ไปพบแพทย์แล้วเอกซเรย์ทราบว่า ปอดเริ่มมีปัญหาเป็นฝ้า นอกจากให้แพทย์รักษาแล้ว ในยุคสมัยก่อนสมุนไพรเป็นทางเลือกรักษาได้เช่นกัน โดยให้เอาต้น "เหงือกปลาหมอ" ทั้ง 5 รวมราก กับ ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ จำนวนเท่ากัน กะตามต้องการ ต้มกับน้ำจนเดือดดื่มขณะอุ่นครั้งละ 1 แก้ว 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น ต้มดื่มจะอาการดีขึ้น ไปให้แพทย์เอกซเรย์ปอดไม่เป็นฝ้าอีกหยุดต้มกินได้เลย และต้องระวังอย่าให้เป็นอีก

เหงือกปลาหมอ มีสรรพคุณเฉพาะคือ ทั้งต้นรวมรากต้มอาบแก้พิษไข้หัว แก้โรคผิวหนังทุกชนิด ทั้งต้นสดตำพอกปิดหัวฝีแผลเรื้อรังถอนพิษ ต้มกินแก้พิษฝีดาษ ฝีทั้งปวง ผลกินเป็นยาขับโลหิตระดู นอกจากนั้น ถ้าตาเจ็บ ตาแดง เอา "เหงือกปลาหมอ" ทั้งต้นตำกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาหาย เป็นเหน็บชา ชาทั้งตัว ทั้งต้นนำทาบริเวณที่เป็นจะดีขึ้น ถูกงูกัด ตำเอาน้ำกินกากพอกหาย เป็นฝีฟกบวม เอาต้นกับขมิ้นอ้อยตำทา เป็นริดสีดวงทวาร เอาต้นกับขมิ้นอ้อยตำละลายกับน้ำทา เป็นไข้จับสั่นตำกับขิงกิน โรคเรื้อน คุดทะราด ทั้งต้นตำเอาน้ำกิน และใบส้มป่อยต้มดาบ

เจ็บหลัง เจ็บเอว เอาต้น "เหงือกปลาหมอ" กับชะเอมเทศทำผงละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นก้อนกิน ริดสีดวงแห้งในท้อง ซูบผอมเหลืองทั้งตัว ทั้งต้นตำเป็นผงกินทุกวัน เป็นริดสีดวง มือตายตีนตาย ร้อนทั้งตัว เวียนหัว ตามัว เจ็บระบมทั้งตัว ตัวแห้ง เอา "เหงือกปลาหมอ" กับเปลือกมะรุมเท่ากันใส่หม้อ เกลือนิดหน่อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ ใช้ฟืน 30 ดุ้น ต้มกับน้ำจนเดือดให้งวดจึงยกลง กลั้นใจกินขณะอุ่นจนหมดจะหายได้

ถ้าต้องการให้มีอายุยืน เอา "เหงือกปลาหมอ" 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้งปั้นกินทุกวัน กินได้ 1 เดือน ไม่มีโรค ปัญญาดี กินได้ 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึงกินได้ 3 เดือน โรคริดสีดวงทุกจำพวกหาย 4 เดือน แก้ลม 12 จำพวก หูไว กินได้ 5 เดือน หมดโรค 6 เดือน เดินไม่รู้จักเหนื่อย 7 เดือน ผิวงาม 8 เดือน เสียงเพราะ 9 เดือน หนังเหนียว ถ้าผิวแตกทั้งตัว เอา "เหงือกปลาหมอ" 1 ส่วน ดีปลี 1 ส่วน ทำผงชงกินกับน้ำร้อนหายได้ ทั้งหมดที่บอกเป็นตำรายาโบราณ ไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ รู้ไว้เป็นวิชา

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทานแป้ง...แบบไม่อ้วน

เลือกบริโภคให้ถูกชนิดในปริมาณที่เหมาะสม

การลดน้ำหนักที่ถูกที่สุดและปลอดภัยที่สุด คือการทานอาหารครบทุกมื้อ ครบทุกหมู่ในปริมาณที่พอเหมาะ ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสมดุล ไม่ใช่การหยุดทานแป้ง หรือขยาดแป้งชนิดปฏิเสธเสียงแข็ง ชาตินี้จะไม่ทานแป้งอีกเลย เพราะถ้าทำเช่นนั้นโรคขาดสารอาหารจะจ่อคิวรอแม้ว่าน้ำหนักจะลดได้จริง

การที่คุณไม่ทานแป้งเลย แล้วทานอาหารน้อยเกินไปจะส่งผลเสียเสมือนคอมพิวเตอร์เข้าสู่ Save Mode พอน้ำหนักลดลงได้ก็หนีไม่พ้นอาการโหย โหยหาแป้ง น้ำตาลและขนมหวาน ทำให้กลับมาอ้วนได้อีกอย่างง่ายดายและรวดเร็วแบบตั้งรับแทบไม่ทัน

ดังนั้นถ้ากลัวอ้วนก็ต้องระมัดระวังอย่าตามใจปาก และควรเลือกทานแป้งและน้ำตาลที่มีดัชนีไกล ซีมิกต่ำ ดัชนีนี้ เป็นตัววัดว่าอาหารพวกแป้งและน้ำตาลนี้จะมีผลต่อระดับของกลูโคสในเลือดอย่างไร หากมีค่าไกลซีมิกสูงเท่าไร ระดับกลูโคสในเลือดก็เพิ่มขึ้นเร็วเท่านั้น

โดยปกติกลูโคสจะถือว่ามีค่าไกลซีมิกอยู่ที่ 100 ส่วนแป้งและน้ำตาลอื่นๆ ก็มีค่าน้อยลงลดหลั่นลงมา หากอาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำกว่า 55 ถือว่ามีค่าไกลซีมิกต่ำ ส่วนระดับ 55 - 70 จัดว่ามีค่าอยู่ในขั้นปานกลาง และระดับที่สูงกว่า 70 จัดอยู่ในขั้นสูง ดังนั้น หากไม่อยากให้เกิดระดับกลูโคสในเลือดสูงเกินไป ก็ให้เลือกทานแป้งและน้ำตาลที่มีค่าไกลซีมิกต่ำไว้ก่อน

อาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำๆ เช่น พวกแป้งและน้ำตาลที่อยู่ในถั่วโดยส่วนใหญ่น้ำตาลในผลไม้ ข้าวซ้อมมือ พาสต้า หรือสปาเก็ตตี้

ส่วนอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือพวกที่มีค่าไกลซีมิกสูงเช่น ขนมปัง (แม้แต่โฮลวีทที่มีวิตามินเยอะ) วัฟเฟิล แครกเกอร์ ข้าวขัดขาว มันฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่งทอดหรืออบ

กรณีศึกษาที่เห็นได้ชัดคือคนชาวพื้นเมืองของอเมริกัน ที่แต่เดิมทานพวกหัวเผือกหัวมัน ถั่ว ข้าวโพด อาหารที่มีเส้นใย ผลไม้ ซึ่งมีค่าไกลซีมิกต่ำ แต่เมื่อเปลี่ยนมาทานอาหารแบบคนเมือง คืออาหารจานด่วน น้ำอัดลม ขนมอบต่างๆ ปรากฎว่ากลายเป็นคนอ้วนไปตามๆ กัน พร้อมทั้งมีปัญหาโรคเบาหวานมากขึ้น ดังนั้น ไม่ถึงกับต้องงดหรือลดการทานแป้งและน้ำตาลเสียเลย แต่ให้เลือกพวกที่มีค่าไกลซีมิกต่ำ เป็นหลัก

ร่างกายต้องการพลังงงานเพื่อนำมาเผาผลาญเพื่อใช้ระหว่างกันอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องทานแป้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอาหารมื้อเช้า และแม้ว่าต้องการลดความอ้วน ร่างกายควรได้รับแป้งประมาณ 60 - 80 กรัมต่อวัน ในขณะที่คนที่ไม่ต้องการลดน้ำหนักสามารถทานแป้งได้ถึง 300 กรัมต่อวัน

นอกจากนี้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที จะช่วยให้ร่างกายดึงพลังงานสะสมที่อยู่ในรูปไขมันออกมาใช้ เพราะการออกกำลังกายจะไปกระตุ้นตับอ่อนให้ผลิตฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งคือ กลูคากอน มีหน้าที่ในการรักษาระดับของกลูโคสในเลือดไม่ให้ต่ำเกินไป โดยการสลายไกลโครเจนที่สะสมไว้เป็นกลูโคส รวมไปถึงการเอาไขมันที่สะสมมาใช้ด้วย

ไม่ต้องกลัวอ้วนอีกต่อไป แถมยังไม่ขาดสารอาหาร แค่เลือกทานแป้งให้ถูกชนิดในสัดส่วนและปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายเพราะนอกจากรูปร่างที่ดีแล้ว สุขภาพที่ดีย่อมเป็นที่ปรารถนาของทุกคน

ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

Reviews Camcorders.

 

INVariety Copyright © 2009 Cookiez is Designed by Ipietoon for Free Blogger Template