วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ระวัง! สารปนเปื้อนใน ‘ครีมเทียม’

ใช้และเก็บไม่ดี เสี่ยงเชื้อก่อโรค

วันนี้คอกาแฟทั้งหลายโปรดระวัง อันตรายที่อาจเกิดขึ้นในถ้วยกาแฟ เดากันไปต่างๆ นานา ว่าอะไรที่ต้องระวัง กาแฟ น้ำ ครีม หรือน้ำตาล เฉลยกันเลยแล้วกันว่า วันนี้จึงขอนำเสนอเรื่องของครีมเทียม

ครีมเทียม ที่เรากินกันอยู่เป็นประจำนั้น เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ทำมาจากนม และมีไขมันอื่นๆ นอกจากมันเนยเป็นส่วนประกอบ หรือครีมที่มีมันเนยผสมอยู่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของไขมันทั้งหมด ส่วนใหญ่ไขมันที่ผู้ผลิตนิยมใช้ผลิตครีมเทียมจะเป็นไขมันปาล์ม และไขมันจากพืช เนื่องจากสามารถละลายได้อย่างรวดเร็วในถ้วยกาแฟ แถมยังมีรสชาติถูกปาก ถูกคอ นักดื่มกาแฟทั้งหลาย

จะว่ากันไปแล้วไม่น่าจะเป็นอันตรายอะไร เพราะส่วนใหญ่ผู้ผลิตครีมเทียมเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ซึ่งต้องใส่ใจเรื่องระบบคุณภาพและกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง

คราวนี้ ต้องมาดูที่ปลายทางคือ ผู้บริโภคอย่างเราๆ ว่ามีวิธีการใช้และเก็บอย่างไร เพราะว่าถ้าใช้และเก็บรักษาไว้ไม่ดี อาจทำให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย เช่น เชื้อ ซาลโมเนลลาและคลอสทริเดียม เปอร์ - ฟริงส์เจนได้อย่างง่ายๆ

ที่บอกว่าใช้และเก็บไม่ดีนั้นคือ บางทีเราไปซื้อครีมเทียมที่เค้าแบ่งขายเป็นห่อหรือซอง เราก็อาจไม่ได้สังเกตว่ามีรูรั่วตรงไหนบ้าง หรืออาจละเลยจนถึงขั้นลืมดูวันหมดอายุ บางครั้งซื้อมาห่อใหญ่ๆ ปริมาณมากๆ แล้วแบ่งใส่ขวดหรือโหลเก็บไว้ พอชงกาแฟก็ใช้ช้อนที่เปียกหรือไม่สะอาดตัก ตรงนี้เองที่อาจทำให้เชื้อก่อโรคปะปนลงในครีม

เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงระบบคุณภาพการผลิตอาหารว่าของไทยยังเยี่ยมยอดอยู่ สถาบันอาหารจึงได้ทำการสุ่มตัวอย่างครีมเทียม จำนวน 5 ตัวอย่าง เพื่อนำมาวิเคราะห์การปนเปื้อนของจุลินทรีย์สองชนิดนี้ ผลเป็นอย่างไร? ดูกันได้ดังตาราง

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บริโภคน้ำตาลให้เป็น (ประโยชน์)

ทานแต่พอดี ช่วยรักษาสมดุลร่างกายได้ด้วย

"อย่ากินน้ำตาลมากนะ เดี๋ยวอ้วน"

"กินของหวานมากเดี๋ยวก็เป็นโรคเบาหวานหรอก"

เสียงพร่ำเตือนที่คุ้นเคยที่ทำเอาเราชะงักทุกครั้งเวลาที่กำลังจะหยิบเอาน้ำตาลเติมในกาแฟชาหรือแม้แต่ขนมหวานๆ ที่จริงรสนิยมการชอบความหวานนั้นมันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล หากรับประทานอย่างพอดีน้ำตาลก็จะส่งผลดีต่อร่างกาย เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่หาง่ายและใกล้ชิดกับคนมากที่สุด

ดร.เนตรนภิส วัฒนสุชาตินักวิจัยสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า สังคมไทยในปัจจุบันถือเป็นสังคมแห่งการบริโภค ซึ่งมีผู้คนในสังคมจำนวนไม่น้อยที่ยังยึดติดกับค่านิยมในการบริโภคแบบผิดๆ อยู่ ส่งผลให้เกิดโรคร้ายตามมามากมาย เช่น โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น ซึ่งโรคร้ายเหล่านี้ปัจจุบันไม่ได้เป็นกันเฉพาะแต่วัยผู้ใหญ่แล้ว วัยเด็กก็มีโอกาสและความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคร้ายก็มากขึ้นด้วย

ดังนั้นทุกคนต้องสร้างนิสัยการกินใหม่ให้ถูกต้อง โดยต้องเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งถือเป็นวัยที่ต้องการสารอาหารที่มีคุณค่าในการเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง โดยที่ผ่านมาพบว่า เด็กไทยส่วนใหญ่ยังนิยมบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณที่สูงเกินความจำเป็น ซึ่งหากรู้จักบริหารความหวาน คือ การรับประทานน้ำตาล ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ก็จะเกิดประโยชน์กับร่างกาย

"การบริโภคอาหารที่ไม่สมดุลเกินปริมาณความต้องการของร่างกาย ย่อมส่งผลร้ายต่อสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะผู้บริโภคที่เป็นเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นวัยที่ต้องการสารอาหารที่มีคุณค่าเพื่อพัฒนาการเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง" ดร.เนตรนภิส กล่าว

นักวิจัยสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวต่อว่า น้ำตาลถือเป็นอาหารที่มีความจำเป็น และมีความต้องการในชีวิตประจำวันของคนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่ง่ายและใกล้ชิดกับคนมากที่สุด โดยจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติการบริโภคในครัวเรือนเฉลี่ยใน 7 วัน ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมการใช้จ่ายบริโภคน้ำตาลและความหวานเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นจาก 24.10 บาทในปี 2545 เป็น 26.50 บาท ในปี 2549

ขณะเดียวกันข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ระบุว่า การบริโภคน้ำตาลของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นเช่นกันโดยปี 2537 มีการบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยอยู่ที่ 23.2 กิโลกรัมต่อคนต่อปีขณะที่ปี 2548 มีการบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยอยู่ที่ 32.3 กิโลกรัมต่อคนต่อปีหรือโดยเฉลี่ยคนไทยจะบริโภคน้ำตาลวันละประมาณ 22 ช้อนชาหรือ 88 กรัม

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ระบุว่า ในแต่ละวันร่างกายควรได้รับน้ำตาลในปริมาณ 10% ของปริมาณพลังงานที่ใช้ในแต่ละวัน เช่น ควรได้รับพลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี่ ส่วนหนึ่งมาจากน้ำตาลที่เติมในอาหารร้อยละ 10 คือเท่ากับ 200 กิโลแคลอรี่หรือเทียบเท่ากับน้ำตาลทราย 50 กรัมประมาณ 10 ช้อนชาแต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนด้วย ซึ่งถ้าเป็นคนที่ออกกำลังกายมากๆ หรือใช้แรงงานมากๆในแต่ละวันและไม่เป็นโรคเบาหวานก็สามารถรับประทานน้ำตาลมากกว่าร้อยละ 10 ของพลังงานได้

จะเห็นได้ว่าน้ำตาลก็ใช่จะไร้ประโยชน์เสมอไป การบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่พอดีจะช่วยรักษาสมดุลให้แก่ร่างกายและไม่ก่อให้เกิดอันตรายอย่างที่เรากลัวกัน

ที่มา: หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไม่ใช่แค่กินอร่อย แต่ยังมีคุณค่าทางยาด้วย!

เผยอาหารดูดสารพิษ คุณค่าอาหารสูง

จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal ยืนยันว่า สาหร่าย สามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้

ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ สาหร่ายจะช่วย ดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก

ขณะที่การวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่าผลอโวคาโดมีสารกลูตาทโอน (Glutathione) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan) พบว่าผู้สูงอายุที่กินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

ส่วนอัลมอนด์เป็นถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน แต่ก็เป็นไขมันที่ดี และจำเป็นต่อร่างกายในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย (Hyperglycemia) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างที่เรียกว่า ไฮโปไกล ซีเมีย (Hypoglycemia) จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก

ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อาหารก่อมะเร็ง” ระวังก่อนเข้าปาก!!

ฉลาดเลือก-ฉลาดกิน คาถาป้องกันโรค

โรคมะเร็ง นับเป็นสาเหตุการเสียชีวิตในลำดับต้นๆ ของคนทั่วโลก สามารถเกิดขึ้นได้กับอวัยวะทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นสมอง ปอด ตับ กระดูก ลำไส้ เต้านม หรือกล่องเสียง ซึ่งยังไม่สามารถระบุถึงตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคได้อย่างชัดเจน แต่ก็มีข้อมูลแน่ชัดในเรื่องของอาหารการกินว่าสามารถทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ เนื่องมาจากพฤติกรรมการกินอาหาร เช่น กินอาหารที่ก่อมะเร็งหรือไม่ กินอาหารซ้ำซากหรือไม่ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หากผู้บริโภคได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง

อาหารก่อมะเร็ง คืออาหารที่กินแล้วทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ที่กล่าวถึงบ่อยๆ ว่าเป็นตัวการสำคัญให้เกิดโรคมะเร็งก็คืออาหารประเภทไขมัน ซึ่งมีข้อมูลการวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าการกินอาหารที่มีไขมันสูงมากๆ เป็นประจำทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้

โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก จึงไม่ควรกินอาหารที่มีไขมันสูงบ่อยๆ หรือเป็นประจำ นอกจากเสี่ยงต่อโรคมะเร็งแล้วยังทำให้อ้วนและเกิดโรคอื่นๆ เช่น ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด และในปัจจุบันยังมีรายงานการวิจัยระบุว่าการกินเนื้อสัตว์ที่มีสีแดงในปริมาณมากๆ เป็นประจำจะทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งมากกว่าการกินไขมันเสียอีก ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคมะเร็งด้วยสาเหตุข้างต้นจึงควรเดินทางสายกลางในการบริโภคอาหาร

อาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อรา โดยเฉพาะเชื้อราที่ชื่อ "แอสเปอจิลลัส เฟวัส" พบว่ามีอันตรายสูง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ เชื้อราชนิดนี้จะสร้างสารพิษอะฟล่าท็อกซินซึ่งทนทานต่อความร้อนสูงได้มากถึง 260 องศาเซลเซียส ดังนั้นความร้อนในอุณหภูมิที่เราใช้หุงต้มคือจุดเดือด 100 องศาเซลเซียสจึงไม่สามารถทำลายสารพิษชนิดนี้ได้

สารพิษอะฟล่าท็อกซิน พบได้ในถั่วลิสง พริกแห้ง หอม กระเทียม เป็นต้น การเลือกซื้อหรือเลือกบริโภคอาหารดังกล่าวจึงต้องมั่นใจว่าอาหารนั้นๆ แห้งสนิท ไม่มีเชื้อรา ถั่วลิสงป่นหรือพริกแห้งป่นที่ป่นทิ้งไว้และเก็บรักษาไม่ดี ไม่แห้งสนิท และไม่มีฝาปิดมิดชิด มักพบว่ามีสารพิษชนิดนี้ปะปนอยู่

โดยมีงานวิจัยของสถาบันวิจัยโภชนาการได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับสารพิษอะฟล่าท็อกซินในถั่วลิสงป่นในก๋วยเตี๋ยวต้มยำ พบว่าในก๋วยเตี๋ยวต้มยำ 100 ชามมีสารพิษอะฟล่าท็อกซินเจือปนอยู่ถึง 92 ชาม ซึ่งนับว่าอันตรายมาก ฉะนั้นเมื่อกินก๋วยเตี๋ยวหากไม่มั่นใจว่าเป็นถั่วที่คั่วใหม่ๆ ก็ไม่ควรกิน แต่ถ้าเป็นคนที่นิยมกินถั่วลิสงควรเลือกซื้อถั่วเมล็ดที่สมบูรณ์และแห้ง นำมาคั่วและป่นกินเองจะปลอดภัยกว่าถั่วป่นในชุดเครื่องปรุงตามร้านก๋วยเตี๋ยว และเมื่อไม่นานมานี้ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการสำรวจน้ำผัก น้ำผลไม้ และชาเขียว ก็พบว่าในน้ำองุ่นมีสารพิษจากเชื้อราเจือปนอยู่ด้วย

ยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหาร แล้วคนกินทุกวันๆ ร่างกายขับทิ้งไม่ทันก็เกิดการสะสม จนในที่สุดทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้ และในปัจจุบันการเพาะปลูกมีการใช้ยาฆ่าแมลงมาก โดยพบว่าในคะน้า พริกสด กวางตุ้ง กะหล่ำปลี ล้วนมียาฆ่าแมลงตกค้าง ดังนั้นเมื่อซื้อมาปรุงอาหารจึงควรล้างให้สะอาด

ทั้งยังมีข่าวน่าตกใจที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ก็คือมีพ่อค้าขายปลาหมึกแห้งใช้ยาฆ่าแมลงฉีดพ่นปลาหมึกแห้งเพื่อป้องกันแมลงวันมาตอม ซึ่งการกระทำดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อผู้บริโภคและผิดกฎหมายด้วย สิ่งเหล่านี้เราต้องพยายามหลีกเลี่ยง โดยเลือกซื้ออาหารจากร้านที่เรามั่นใจว่ามีความสะอาดและมีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค สำหรับผักและผลไม้ต้องล้างจนมั่นใจว่าสะอาดจริงๆ

อาหารที่ปนเปื้อนสารเจือปนในอาหาร หรือสารที่ไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร ล้วนเป็นสารก่อมะเร็งได้ ซึ่งสารเจือปนที่อนุญาตให้ใส่ในอาหารได้ ได้แก่ ดินประสิว (ไนเตรท, ไนไตรท์) สีผสมอาหาร เป็นต้น แต่ก็ไม่อนุญาตให้ใส่มากเกินไป โดยไนเตรทและไนไตรท์เป็นสารกันบูดที่กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใส่ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ในอัตราส่วนเนื้อสัตว์ 1 กิโลกรัมต่อไนเตรทไม่เกิน 500 มิลลิกรัม ส่วนไนไตรท์ใส่ได้ไม่เกิน 125 มิลลิกรัม แต่สารเจือปนนี้ให้คุณสมบัติทางอ้อม คือ เนื้อที่ใส่ไนเตรทหรือไนไตรท์จะมีสีแดงน่ากินมากขึ้น จึงนิยมใส่สารนี้กันโดยเข้าใจว่าจะทำให้เนื้อมีสีแดงเพิ่มมากขึ้นซึ่งไม่เป็นความจริง อาหารที่มักใส่ดินประสิว ได้แก่ ไส้กรอก แหนม เนื้อสวรรค์ กุนเชียง เป็นต้น

สาเหตุที่ดินประสิวทำให้เกิดสารก่อมะเร็งได้ เพราะในเนื้อสัตว์จะมีสารเอมีน และเมื่อเติมดินประสิวลงไปจะทำปฏิกิริยาให้เกิดสารไนโตรซามีนขึ้น ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ไนโตรซามีนยังเกิดขึ้นได้ภายในกระเพาะอาหารของคนเราเมื่อกินอาหารที่มีไนเตรทตามธรรมชาติ เช่น ผัก และกินร่วมกับเนื้อสัตว์

สีผสมอาหาร ก็ไม่แนะนำให้ใช้มากเกินความจำเป็นหรือกินอาหารที่ใส่สีมากเกินไป ควรใช้สีที่ได้จากธรรมชาติจะปลอดภัย ทั้งยังได้กลิ่นหอมจากพืชหรือสมุนไพรที่เรานำมาเป็นวัตถุดิบในการให้สีเพิ่มขึ้นด้วย และถ้าผู้ผลิตขาดความรับผิดชอบ ใช้สีย้อมผ้าซึ่งให้สีเข้มและราคาถูกก็จะยิ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เพราะทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหารได้

สำหรับสารเจือปนอื่นๆ ซึ่งไม่อนุญาตให้ใส่ในอาหาร แต่ก็มีการแอบใส่หรือแอบใช้กัน เช่น บอแรกซ์หรือผงกรอบ พบได้ในอาหารประเภทลูกชิ้นที่เด้งผิดปกติ ของทอดที่กรอบนานผิดปกติ, สารฟอกขาว พบในขิง ข่าซอย ถั่วงอก เป็นต้น สารเหล่านี้หากกินในปริมาณที่น้อยแต่บ่อยๆ ก็ทำให้เกิดการสะสม ส่งผลให้เสี่ยงต่อมะเร็งได้เช่นกัน

อาหารประเภทปิ้ง ย่าง รมควัน เป็นอีกตัวการสำคัญที่ก่อมะเร็งได้หลายชนิด อาหารปิ้ง - ย่างประเภทที่มีไขมัน เช่น หมูปิ้งหมูย่าง ไก่ปิ้ง เนื้อย่าง เวลาปิ้งหรือย่างจะมีไขมันตกลงไปในถ่านที่กำลังแดง ทำให้เกิดการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดสารพิษที่เรียกว่าสาร PAH หรือโพลีไซคลิก อะโรเมติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon) ทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอด เต้านม และกระเพาะอาหาร เวลากินอาหารเหล่านี้จึงควรตัดส่วนที่ไหม้เกรียมออกให้หมด และไม่ควรกินซ้ำๆ ซากๆ ติดกันทุกวัน

การกินอาหารดิบๆ สุกๆ ก็มีความไม่ปลอดภัย เพราะเสี่ยงต่อการได้รับพยาธิใบไม้ในตับ ซึ่งพบมากในปลาน้ำจืดประเภทปลาเกล็ดขาว ปลาตะเพียน พยาธิชนิดนี้จะเข้าสู่ร่างกายได้เมื่อเรากินปลาที่มีพยาธิและปรุงไม่สุก พยาธิจะทำให้ท่อน้ำดีและขั้วตับเกิดการอักเสบ ส่งผลให้เป็นมะเร็งที่ท่อน้ำดีในตับได้ นอกจากนี้ยังมีพยาธิใบไม้ชนิดอื่นๆ ที่ทำให้เกิดมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ ซึ่งวิธีป้องกันคือกินอาหารที่ปรุงสุกทุกครั้ง

นอกจากนี้การกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์มากเกินไปก็ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้ คือความเสี่ยงของมะเร็งจะเพิ่มขึ้นเมื่อกินเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเนื้อที่มีสีแดง ดังนั้นนักโภชนาการจึงแนะนำให้กินเนื้อสัตว์ที่มีสีขาว ซึ่งได้แก่เนื้อปลา มากกว่าเนื้อหมูหรือเนื้อวัว

เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ และบุหรี่ ก็เป็นตัวการส่งเสริมให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งได้แก่ มะเร็งตับ และมะเร็งปอด ดังนั้นหากหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการดื่มหรือการสูบลงก็จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้

เห็นได้ว่าอาหารที่เรากินประจำก็เป็นอาหารก่อมะเร็งได้โดยที่เราคิดไม่ถึง แต่คุณผู้อ่านไม่ควรกังวล เพราะอาหารบางอย่างเราสามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรืออาหารสุกๆ ดิบๆ แต่บางอย่างที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็คงต้องมีวิธีปฏิบัติเพื่อไม่ให้อาหารเหล่านั้นอยู่ในร่างกายเรานานเกินไปจนเกิดอันตรายได้ นั่นคือจะต้องกินผักและผลไม้ให้มากเพื่อให้ขับถ่ายเป็นประจำ

ผลไม้ที่เลือกกินควรเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยสูง รสไม่หวานมากเกินไป ซึ่งเส้นใยในผักและผลไม้จะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำหน้าที่เหมือนไม้กวาด คอยปัดกวาดลำไส้ไม่ให้สารพิษทำอันตรายต่อร่างกายได้ นอกจากนี้ในผักและผลไม้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ที่ช่วยป้องกันมะเร็งหลายชนิด

ต่อมาคือการเลือกกินอาหารที่มีความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด ไม่กินอาหารที่มีการดัดแปลงหรือใช้สารเคมี หากคุณเป็นคนที่อ่านฉลากทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้ออาหาร จะเห็นว่าผลิตภัณฑ์อาหารอย่างเดียวกัน แต่ยี่ห้อต่างกัน เช่น น้ำปลา จะมีหลากหลายยี่ห้อ เมื่ออ่านฉลากจะพบว่าบางยี่ห้อไม่ใส่สารกันบูด บางยี่ห้อก็ไม่ใส่ผงชูรส เราจึงควรเลือกยี่ห้อที่ไม่ใส่สารกันบูดหรือไม่ใส่ผงชูรสจะดีกว่า

สิ่งที่สำคัญในการหลีกเลี่ยงมะเร็ง คือการดูแลร่างกายให้แข็งแรง จะทำให้เรามีภูมิต้านทานดี โรคภัยต่างๆ ก็มากล้ำกรายยาก และก่อนที่กระทรวงสาธารณสุขจะระบุว่าสารเคมีบางอย่างสามารถใส่ในอาหารได้ในปริมาณหนึ่งๆ ซึ่งปลอดภัยต่อผู้บริโภค ก็ต้องมีการทดลองในสัตว์ทดลองจนมั่นใจว่าปลอดภัยแล้วจึงนำมาใช้กับคน โดยนักวิจัยจะทำการวิจัยในสัตว์ที่แข็งแรงเท่านั้น แต่โดยปกติเรากินอาหารในทุกสภาพของร่างกาย ถ้าเรากินในช่วงที่เจ็บป่วย ปริมาณที่กำหนดว่าปลอดภัยจึงอาจไม่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เป็นได้ ดังนั้นถ้าหลีกเลี่ยงได้จึงเป็นสิ่งดีและปลอดภัยที่สุด

การที่ร่างกายจะแข็งแรงได้ก็ต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่กินอาหารซ้ำซาก ไม่กินอาหารรสจัด และต้องหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ ก็เป็นคาถาที่น่าจะป้องกันมะเร็งได้ผล

ที่มา: ไอ.เอ็น.เอ็น.

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

ทำไมลำไยมา “ตาแดง” ต้องแผลงฤทธิ์?

แนะล้างสารเคมีตกค้างก่อนรับประทานช่วยได้

เกิดเป็นคนไทยนี้แสนโชคดี โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ผลไม้หลากหลาย ฝรั่งต่างชาติยังต้องยกนิ้วให้มานักต่อนักแล้ว นี่หน้าลิ้นจี่เพิ่งจะหมดไปไม่ทันเท่าไหร่ ก็เห็น “ลำไย” ลูกโตๆ ทยอยออกมาวางเรียงรายขายยึดแผงเต็มตลาดไปหมดอีกแล้ว

แต่เพราะด้วยความหวาน กรอบ ยั่วยวนของ “ลำไย” ที่ไม่มีใครยอมปฏิเสธนี่ละสิ ซ้อนด้วยปัญหาที่ฝังเป็นความเชื่อมาตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่ยังเป็นเด็กๆ ด้วยซ้ำ หลายคนคงเคยได้ยินบ่อยๆ เวลาป้อนลำไยเข้าปากลูกก็มักจะมีเสียงลอยตามมาว่า “อย่าให้ทานเยอะนะ เดี๋ยวลูกร้อนใน ตาแฉะ ขี้ตาเยอะ” ทำไมหนา...พอลำไยมาตาแดงตาแฉะต้องแผลงฤทธิ์ทุกที ถ้าใครๆ ก็ต่างคิดแบบนี้ แล้วใครจะช่วยอุดหนุนลำไยปีนี้อีกล่ะ

จากหลากหลายความเชื่อมากมายตั้งแต่การรับประทานลำไยแล้วร้อนใน ขี้ตาเยอะ ทำตาแฉะ แท้จริงตาแฉะในเด็กมีโอกาสเกิดได้ตลอดเวลานะคะ สาเหตุตาแฉะแท้จริงแล้วเกิดจากการที่ตาได้รับเชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่ตามพื้น สนามหญ้า หรือแม้แต่ของเล่นที่เด็กๆ สัมผัสอยู่เป็นประจำ ซึ่งโดยปกติแล้วเจ้าเชื้อที่ว่าก็คงไม่มีความสามารถกระโดดขึ้นมาหาตาของเด็กเอง ถ้าไม่ใช่ตัวเด็กเองใช้มือน้อยๆ ที่เคยไปสัมผัสเชื้อเข้ามาขยี้ตาโดยไม่ได้ทำความสะอาดหรือล้างมือ

พอเมื่อตาได้รับเชื้อเข้า ก็จะทำให้เยื่อบุตาอักเสบเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีแดง มีขี้ตาน้ำตาไหล ที่เราเรียกว่าเด็กตาแฉะ ซึ่งการดูแลรักษาโดยทั่วไปแพทย์จะให้ใช้ยาปฏิชีวนะหยอดหรือป้ายตา ร่วมกับการพักสายตาโดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์จะหาย ไม่ควรขยี้ตาเพราะอาจทำให้กระจกตาดำเป็นแผลและตาบอดได้ ไม่ควรปิดตาเพราะทำให้เชื้อโรคสะสมในตา

ส่วนอีกความเชื่อที่บอกกันว่าการเอาน้ำนมแม่หยอดตาหรือใช้น้ำยาล้างตารักษา ก็ไม่ใช่การรักษาที่ถูกต้อง ยิ่งถ้าเจอใครตาแฉะตาแดงต้องรีบแลบลิ้นใส่ จะได้ไม่ติดตาแดง ก็ไม่มีมูลความจริง เพราะโรคนี้สามารถแพร่เชื้อได้โดยการสัมผัสหรือไปคลุกคลีกับผู้ป่วยเท่านั้นนะคะ การป้องกันทำได้ง่ายๆ คุณพ่อคุณแม่สอนเด็กๆ ให้งดการใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น ทุกครั้งที่จับตาควรล้างมือให้สะอาด ในช่วงที่เป็นตาแดงควรงดการลงเล่นน้ำในสระ เพราะจะแพร่กระจายเชื้อลงในน้ำได้

รวมถึงหน้าลำไยมาถึงแล้ว หมอจึงถือโอกาสนี้ฝากผ่านไปยังคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองว่า ในครั้งต่อไปถ้าจะให้เด็กๆ ได้รับประทานลำไยได้อย่างสบายใจ ไม่หวั่นหรือหวาดกลัวว่าลำไยจะทำลูกร้อนในแล้วตาแฉะ ก็เพียงแต่ให้นำลำไยที่เพิ่งซื้อมาจากตลาดไปล้างทำความสะอาดเศษดิน เศษสกปรกที่อาจมีเชื้อโรคปนเปื้อน หรือสารเคมีตกค้างติดมาให้สะอาดก่อนรับประทาน รับประทานลำไยครั้งหน้าจะได้สบายใจไม่ร้อนในจนตาแฉะ แล้วยังถือว่าเป็นการช่วยเกษตรกร ช่วยชาติไทย ในการช่วยบริโภคผลไม้ไทยได้ดีอีกด้วยค่ะ

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เหงือกปลาหมอ" แก้ปอดอักเสบ

ตำรายาโบราณ บรรเทาสารพัดโรค

ใครที่ไปพบแพทย์แล้วเอกซเรย์ทราบว่า ปอดเริ่มมีปัญหาเป็นฝ้า นอกจากให้แพทย์รักษาแล้ว ในยุคสมัยก่อนสมุนไพรเป็นทางเลือกรักษาได้เช่นกัน โดยให้เอาต้น "เหงือกปลาหมอ" ทั้ง 5 รวมราก กับ ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ จำนวนเท่ากัน กะตามต้องการ ต้มกับน้ำจนเดือดดื่มขณะอุ่นครั้งละ 1 แก้ว 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น ต้มดื่มจะอาการดีขึ้น ไปให้แพทย์เอกซเรย์ปอดไม่เป็นฝ้าอีกหยุดต้มกินได้เลย และต้องระวังอย่าให้เป็นอีก

เหงือกปลาหมอ มีสรรพคุณเฉพาะคือ ทั้งต้นรวมรากต้มอาบแก้พิษไข้หัว แก้โรคผิวหนังทุกชนิด ทั้งต้นสดตำพอกปิดหัวฝีแผลเรื้อรังถอนพิษ ต้มกินแก้พิษฝีดาษ ฝีทั้งปวง ผลกินเป็นยาขับโลหิตระดู นอกจากนั้น ถ้าตาเจ็บ ตาแดง เอา "เหงือกปลาหมอ" ทั้งต้นตำกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาหาย เป็นเหน็บชา ชาทั้งตัว ทั้งต้นนำทาบริเวณที่เป็นจะดีขึ้น ถูกงูกัด ตำเอาน้ำกินกากพอกหาย เป็นฝีฟกบวม เอาต้นกับขมิ้นอ้อยตำทา เป็นริดสีดวงทวาร เอาต้นกับขมิ้นอ้อยตำละลายกับน้ำทา เป็นไข้จับสั่นตำกับขิงกิน โรคเรื้อน คุดทะราด ทั้งต้นตำเอาน้ำกิน และใบส้มป่อยต้มดาบ

เจ็บหลัง เจ็บเอว เอาต้น "เหงือกปลาหมอ" กับชะเอมเทศทำผงละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นก้อนกิน ริดสีดวงแห้งในท้อง ซูบผอมเหลืองทั้งตัว ทั้งต้นตำเป็นผงกินทุกวัน เป็นริดสีดวง มือตายตีนตาย ร้อนทั้งตัว เวียนหัว ตามัว เจ็บระบมทั้งตัว ตัวแห้ง เอา "เหงือกปลาหมอ" กับเปลือกมะรุมเท่ากันใส่หม้อ เกลือนิดหน่อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ ใช้ฟืน 30 ดุ้น ต้มกับน้ำจนเดือดให้งวดจึงยกลง กลั้นใจกินขณะอุ่นจนหมดจะหายได้

ถ้าต้องการให้มีอายุยืน เอา "เหงือกปลาหมอ" 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้งปั้นกินทุกวัน กินได้ 1 เดือน ไม่มีโรค ปัญญาดี กินได้ 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึงกินได้ 3 เดือน โรคริดสีดวงทุกจำพวกหาย 4 เดือน แก้ลม 12 จำพวก หูไว กินได้ 5 เดือน หมดโรค 6 เดือน เดินไม่รู้จักเหนื่อย 7 เดือน ผิวงาม 8 เดือน เสียงเพราะ 9 เดือน หนังเหนียว ถ้าผิวแตกทั้งตัว เอา "เหงือกปลาหมอ" 1 ส่วน ดีปลี 1 ส่วน ทำผงชงกินกับน้ำร้อนหายได้ ทั้งหมดที่บอกเป็นตำรายาโบราณ ไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ รู้ไว้เป็นวิชา

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทานแป้ง...แบบไม่อ้วน

เลือกบริโภคให้ถูกชนิดในปริมาณที่เหมาะสม

การลดน้ำหนักที่ถูกที่สุดและปลอดภัยที่สุด คือการทานอาหารครบทุกมื้อ ครบทุกหมู่ในปริมาณที่พอเหมาะ ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสมดุล ไม่ใช่การหยุดทานแป้ง หรือขยาดแป้งชนิดปฏิเสธเสียงแข็ง ชาตินี้จะไม่ทานแป้งอีกเลย เพราะถ้าทำเช่นนั้นโรคขาดสารอาหารจะจ่อคิวรอแม้ว่าน้ำหนักจะลดได้จริง

การที่คุณไม่ทานแป้งเลย แล้วทานอาหารน้อยเกินไปจะส่งผลเสียเสมือนคอมพิวเตอร์เข้าสู่ Save Mode พอน้ำหนักลดลงได้ก็หนีไม่พ้นอาการโหย โหยหาแป้ง น้ำตาลและขนมหวาน ทำให้กลับมาอ้วนได้อีกอย่างง่ายดายและรวดเร็วแบบตั้งรับแทบไม่ทัน

ดังนั้นถ้ากลัวอ้วนก็ต้องระมัดระวังอย่าตามใจปาก และควรเลือกทานแป้งและน้ำตาลที่มีดัชนีไกล ซีมิกต่ำ ดัชนีนี้ เป็นตัววัดว่าอาหารพวกแป้งและน้ำตาลนี้จะมีผลต่อระดับของกลูโคสในเลือดอย่างไร หากมีค่าไกลซีมิกสูงเท่าไร ระดับกลูโคสในเลือดก็เพิ่มขึ้นเร็วเท่านั้น

โดยปกติกลูโคสจะถือว่ามีค่าไกลซีมิกอยู่ที่ 100 ส่วนแป้งและน้ำตาลอื่นๆ ก็มีค่าน้อยลงลดหลั่นลงมา หากอาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำกว่า 55 ถือว่ามีค่าไกลซีมิกต่ำ ส่วนระดับ 55 - 70 จัดว่ามีค่าอยู่ในขั้นปานกลาง และระดับที่สูงกว่า 70 จัดอยู่ในขั้นสูง ดังนั้น หากไม่อยากให้เกิดระดับกลูโคสในเลือดสูงเกินไป ก็ให้เลือกทานแป้งและน้ำตาลที่มีค่าไกลซีมิกต่ำไว้ก่อน

อาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำๆ เช่น พวกแป้งและน้ำตาลที่อยู่ในถั่วโดยส่วนใหญ่น้ำตาลในผลไม้ ข้าวซ้อมมือ พาสต้า หรือสปาเก็ตตี้

ส่วนอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือพวกที่มีค่าไกลซีมิกสูงเช่น ขนมปัง (แม้แต่โฮลวีทที่มีวิตามินเยอะ) วัฟเฟิล แครกเกอร์ ข้าวขัดขาว มันฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่งทอดหรืออบ

กรณีศึกษาที่เห็นได้ชัดคือคนชาวพื้นเมืองของอเมริกัน ที่แต่เดิมทานพวกหัวเผือกหัวมัน ถั่ว ข้าวโพด อาหารที่มีเส้นใย ผลไม้ ซึ่งมีค่าไกลซีมิกต่ำ แต่เมื่อเปลี่ยนมาทานอาหารแบบคนเมือง คืออาหารจานด่วน น้ำอัดลม ขนมอบต่างๆ ปรากฎว่ากลายเป็นคนอ้วนไปตามๆ กัน พร้อมทั้งมีปัญหาโรคเบาหวานมากขึ้น ดังนั้น ไม่ถึงกับต้องงดหรือลดการทานแป้งและน้ำตาลเสียเลย แต่ให้เลือกพวกที่มีค่าไกลซีมิกต่ำ เป็นหลัก

ร่างกายต้องการพลังงงานเพื่อนำมาเผาผลาญเพื่อใช้ระหว่างกันอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องทานแป้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอาหารมื้อเช้า และแม้ว่าต้องการลดความอ้วน ร่างกายควรได้รับแป้งประมาณ 60 - 80 กรัมต่อวัน ในขณะที่คนที่ไม่ต้องการลดน้ำหนักสามารถทานแป้งได้ถึง 300 กรัมต่อวัน

นอกจากนี้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที จะช่วยให้ร่างกายดึงพลังงานสะสมที่อยู่ในรูปไขมันออกมาใช้ เพราะการออกกำลังกายจะไปกระตุ้นตับอ่อนให้ผลิตฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งคือ กลูคากอน มีหน้าที่ในการรักษาระดับของกลูโคสในเลือดไม่ให้ต่ำเกินไป โดยการสลายไกลโครเจนที่สะสมไว้เป็นกลูโคส รวมไปถึงการเอาไขมันที่สะสมมาใช้ด้วย

ไม่ต้องกลัวอ้วนอีกต่อไป แถมยังไม่ขาดสารอาหาร แค่เลือกทานแป้งให้ถูกชนิดในสัดส่วนและปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายเพราะนอกจากรูปร่างที่ดีแล้ว สุขภาพที่ดีย่อมเป็นที่ปรารถนาของทุกคน

ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

"สะเดา" ประโยชน์จากความขม

ช่วยเจริญอาหาร-แก้ไข้ แถมถ่ายคล่อง

โบราณเขาว่า "หวานเป็นลมขมเป็นยา" ของขมๆ แม้จะไม่อร่อยแต่ก็มีประโยชน์ไม่น้อย อย่างเช่น "สะเดา" ผักสมุนไพรที่แม้จะมีรสขมขนาดไหน แต่ก็ยังเป็นของโปรดของหลายๆ คน โดยเฉพาะเมนูสะเดาน้ำปลาหวานกินกับปลาดุกย่าง หรือกุ้งเผา ที่เมื่อกินพร้อมกันแล้วจะลดความขมของสะเดาลงเหลือแต่ความอร่อย หรือบางบ้านอาจนำสะเดาไปลวกเพื่อลดความขมจิ้มกินกับน้ำพริกอีกด้วย

เรานิยมนำดอกและยอดของสะเดามาประกอบอาหาร ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน

ส่วนสรรพคุณด้านยาสมุนไพรนั้น สะเดามีสรรพคุณบำรุงธาตุไฟ สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย และแก้ไข้ อีกทั้งรสขมของสะเดายังช่วยเรียกน้ำย่อย และช่วยให้ขับน้ำดีตกลงสู่ลำไส้มากขึ้น ทำให้ร่างกายเกิดความอยากอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้อุจจาระละเอียดขับถ่ายคล่อง และช่วยให้นอนหลับสบายอีกด้วย

สะเดายังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น เป็นสารธรรมชาติที่ใช้กำจัดแมลงศัตรูพืชอย่างได้ผล และคนโบราณยังเชื่อว่าสะเดาเป็นไม้มงคล นิยมปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยเชื่อกันว่าจะป้องกันโรคร้ายต่างๆ และภูติผีปีศาจได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

งดหมูแฮมไส้กรอกเป็นอาหารกลางวันเด็ก

กลัวมะเร็งลำไส้ตอนโต

องค์การส่งเสริมสุขภาพอนามัยของอังกฤษ แนะนำกับผู้ปกครองละเว้นการให้เด็กรับประทานเนื้อสัตว์แปรรูป เพื่อหลีกเลี่ยงการเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งเมื่อตอนโตเป็นผู้ใหญ่...

กองทุนวิจัยโรคมะเร็งโลกแจ้งว่า พบหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ว่า การบริโภคเนื้อสัตว์ สำเร็จรูปชนิดต่างๆ จะเป็นเหตุให้เสี่ยงกับการเป็นมะเร็งลำไส้มากขึ้น

พร้อมกันนั้นทางองค์การส่งเสริมสุขภาพอนามัยของอังกฤษได้แนะนำกับผู้ปกครองทั้งหลายให้เลิกการเอาหมูแฮมและเนื้อสัตว์สำเร็จรูปอื่นๆ แบบขนมปังหุ้มไส้กรอก เบคอน และไส้กรอกหมูปนเนื้อวัว ใส่กล่องอาหารกลางวัน ให้ลูกเอาไปกินที่โรงเรียน หลีกเลี่ยงการเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งเมื่อตอนโตเป็นผู้ใหญ่ ไว้เสียแต่เนิ่นๆ โดยข้ออ้างว่า แม้จะยังไม่มีผลการวิจัย

ถึงการกินเนื้อสัตว์ของเด็กโดยเฉพาะ แต่หลักฐานที่พบในผู้ใหญ่ก็หนักแน่นพอเกินกว่าจะไม่ใส่ใจเสียเลยได้ จึงควรจะฝึกให้เด็กกินอาหารที่ถูกอนามัย ละเว้นอาหารเนื้อสัตว์แปรรูปต่างๆเสียตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เป็นต้นไป

ในช่วงระยะไม่กี่ปีมานี้ ความสัมพันธ์ของอาหารเนื้อสัตว์สำเร็จรูปกับการเป็นมะเร็งลำไส้ในผู้ใหญ่เพิ่งจะถูกกล่าวขวัญถึงกัน และมีบางคนได้กล่าวคาดเป็นเชิงว่าจะสามารถป้องกันคนได้เป็นเรือนพัน หากให้จำกัดการบริโภคเพียงอาทิตย์ละไม่เกิน 70 กรัม หรือเทียบเท่ากับเบคอนหั่นชิ้นบางๆ ยาวๆ 3 ชิ้น.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เมนูสุขภาพ “น้ำพริกเผารำข้าวสกัด”

อุดมโปรตีน วิตามิน และเส้นใยอาหาร

ข้าว ถือว่าเป็นอาหารหลักของคนไทยซึ่งมีประโยชน์มากมาย โดยทุกส่วนของต้นข้าวสามารถนำมาเป็นอาหารได้ เช่น รำข้าว ซึ่งในอดีตเป็นอาหารสุกร หากรู้จักเอามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับมนุษย์...ก็สามารถสร้างเมนูสุขภาพได้อีกหลากหลายเมนูเลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้ สามสาวจากรั้วมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ประกอบด้วย น.ส.กีรติ จารุธรรมากร น.ส.ศิรินทรา มาลีบุตร และ น.ส.อรพรรณ โกมลมาลย์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ ได้คิดเมนู "น้ำพริกเผารำข้าวสกัด" โดยมี ผศ.สิวลี ไทยถาวร และ ผศ.อุจิตชญา จิตรวิมล อาจารย์คอยให้คำปรึกษา

ผศ.อุจิตชญา จิตรวิมล บอกว่า "น้ำพริกเผารำข้าวสกัด" เป็นการแปรรูปที่มีคุณค่าทางอาหาร ผู้ชอบรับประทานน้ำพริกเผาและรักสุขภาพ เพราะน้ำพริกมีส่วนผสมของรำข้าวสกัด คือ เยื่อสีน้ำตาลอ่อนที่ห่อหุ้มเมล็ดข้าว ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วย โปรตีน, วิตามิน และ เส้นใยอาหาร

โดยน้ำมันที่ใช้ในการผัดจะมี สารโอรีซานอล (Oryzanol) เป็นสารธรรมชาติที่สามารถต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่า และมีประสิทธิภาพเหนือกว่า วิตามิน E ทุกชนิด ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็ง และหลอดเลือดหัวใจตีบตัน สามารถขจัดคอเลสเทอรอลที่ไม่ดี (LDL) ออกไปจากเซลล์และเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ที่มีผลทำให้น้ำหนักของร่างกายลดลง

สำหรับส่วนผสมของ น้ำพริกเผารำข้าวสกัด ประกอบด้วย

รำข้าวสกัด 3 ช้อนโต๊ะ

พริกชี้ฟ้าแห้ง 2 ถ้วย

หอมแดง 1 ถ้วยครึ่ง

กระเทียม 1 ถ้วย

กุ้งแห้งป่น 1 ถ้วย

กะปิ 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลปี๊บ 2 ถ้วย

น้ำมะขามเปียก 3/4 ถ้วย

น้ำปลา 1 ถ้วย

น้ำมันรำข้าว 1 ถ้วยครึ่ง

 

 

 

สามสาวแห่งมทร.ธัญบุรี ผู้คิดเมนูเด็ด บอกถึงขั้นตอนกรรมวิธีในการทำ "น้ำพริกเผารำข้าวสกัด" ว่า...เริ่มจาก ผ่าพริกแห้งเอาเม็ดออก ล้างน้ำ ผึ่งแดดให้แห้ง จากนั้นปอกเปลือกหอมแดง กระเทียม ล้าง ซอยเป็นแว่น นำไปทอดให้เหลืองกรอบ แล้วจึงทอดพริกและโขลกละเอียด

หลังจากนั้นนำกะปิไปเผาให้หอม ด้วยวิธีการนำไปจี่ด้วยใบตองบนกระทะ จากนั้นจึงเคี่ยวน้ำตาลปี๊บ, น้ำปลา และน้ำมะขามเปียก ให้รู้สึกพอเหนียว

ใส่กุ้งแห้งป่น พริก กระเทียม หอมแดงที่ได้โขลกไว้กับกะปิ ก่อนจะคนให้เข้ากันจนเดือด

เติมน้ำมันที่เหลือจากการเจียวหอมกระเทียม คนให้เข้ากัน ใส่รำข้าวสกัดจึงยกลงพักให้ เย็นบรรจุใส่ขวด ปิดฝา ถ้าใส่ตามสูตรจะได้น้ำพริกเผา 10 กระปุก

คุณค่าทางโภชนาการของน้ำพริกเผารำข้าวสกัด 1 กระปุก ขนาด 120 กรัม ประกอบด้วย พลังงาน 535.66 กิโลแคลอรี คาร์โบไฮเดรต 68 กรัม โปรตีน 8.77 กรัม ไขมัน 25.45 กรัม แคลเซียม 273.43 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 157.49 มิลลิกรัม วิตามิน A 135.12 ไมโครกรัม วิตามิน B1 0.14 มิลลิกรัม วิตามิน B รวม 0.16 มิลลิกรัม และ เส้นใยอาหาร อีกด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Update 28-08-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เลิกบุหรี่อย่างไรไม่ให้อ้วน

ลด ละ เลิกบุหรี่ เป็นเรื่องที่ดีสำหรับสุขภาพตัวเอง หลายๆ คนรู้แต่ดูจะอิดออดชอบกล บางคนอ้างว่ากลัวน้ำหนักเพิ่ม เราจึงแนะวิธีป้องกันสำหรับใครที่พร้อมจะเลิกบุหรี่อย่างจริงจังค่ะ

เลิกบุหรี่อย่างไรไม่ให้อ้วน

อย่างแรกคือคุณควรหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะทำให้คุณกินกระหน่ำให้ได้เสียก่อน ถ้าผ่านตรงนี้มาได้ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วค่ะ จากนั้นสิ่งที่ต้องพยายามอีกหน่อยก็คือ

  • จัดตารางให้ตัวเองออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะเดิน ขี่จักรยาน เต้นรำ หรือแอโรบิก อย่างไรก็ได้ที่คุณจะสนุกกับมัน อย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์
  • เลือกกินอาหารพวกที่มีไขมันต่ำ นมพร่องมันเนย ละเว้นของทอดที่ใช้น้ำมัน เพื่อลดปริมาณไขมันสะสมในร่างกาย
  • สำหรับคนที่เคยชินกับการสูบบุหรี่พร้อมดื่มชา กาแฟ ให้ดื่มน้ำเปล่า หรือน้ำผลไม้แทน
  • หากคุณไม่ชอบให้ปากว่าง เลือกของขบเคี้ยวพวกที่มีกากใยมากๆ อย่างข้าวโพดคั่ว ขนมปังแคร้กเกอร์ที่ทำจากธัญพืช หรือหันไปกินผักผลไม้อย่างแอ๊ปเปิ้ล องุ่น หรือแครอทแช่เย็นเจี๊ยบก็ไม่เลวนัก เพราะนอกจากให้พลังงานต่ำแล้วยังได้ประโยชน์จากกากใยหรือวิตามินต่างๆ ด้วย
  • กินอาหารช้าๆ เคี้ยวนานๆ ค่อยกลืน เพราะการกินเร็วๆ จะทำให้คุณกินมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
  • สำหรับคนที่ชินกับการคีบบุหรี่ที่นิ้วเสมอๆ ควรหาขนมที่เป็นแท่ง อย่างเช่น ขนมปังกรอบแบบไขมันต่ำ มาวางไว้ทุกที่ที่คุณใช้ชีวิต เช่น ในรถ โต๊ะทำงาน เพื่อหยิบได้ทุกครั้งที่อยากบุหรี่ขึ้นมา
  • หาเม็ดอม หรือเม็นทอลมินต์ แบบปราศจากน้ำตาลพกติดตัวไว้อมแก้ขัดเวลาอยากบุหรี่
  • แปรงฟัน หรืออมเม็นทอลมินต์ทันทีหลังกินอาหารจานหลักเสร็จ จะช่วยลดความอยากของหวาน หรือความอยากบุหรี่ลงไป
  • หากิจกรรมอย่างอื่นทำแทนการกินอาหารนอกมื้อ เช่น เดินเล่น อ่านหนังสือ ทำงาน
  • หากรู้สึกว่ามือว่างอยากคีบบุหรี่ ลองหางานอดิเรกประเภทที่ต้องใช้มือทำ เช่น ทำสวน งานช่าง จะได้ใช้พลังงานไปพร้อมๆ กับลดบุหรี่ในตัว
  • หลังจากเลิกบุหรี่สำเร็จแล้ว ให้ค่อยๆ วางแผนลดน้ำหนัก ไม่ต้องรีบ โดยรอให้คุณคลายความเครียดของการเลิกบุหรี่ได้เสียก่อนจะดีกว่า

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today

  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ invariety-helath.blogspot.com แหล่งรวมบทความของคนรักสุขภาพ

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จัดการกับอาการ Jet Lag

อาการหลักๆ ของ Jet Lag ได้แก่ ปวดหัว เหนื่อยล้า หมดแรง เซื่องซึม อารมณ์ฉุนเฉียวผิดปกติ ใครทำอะไรนิดก็หงุดหงิด ตัดสินใจอะไรไม่ค่อยได้ สมาธิกระเจิง ไม่หิว หรืออยากอาหาร

คนที่เคยนั่งเครื่องบินนานๆ แบบข้ามทวีป เปลี่ยนที่ เปลี่ยนเวลา จากกลางวันเป็นกลางคืน คงเคยสัมผัสกับอาการอ่อนเพลีย หมดแรง ที่เราเรียกว่า เจ็ทแล็ค (Jet Lag) กันบ้างหรอกนะคะ

แถมจะนอนพักก็ยังหลับยากอีกต่างหาก

สาเหตุหลักๆ เกิดจากการเปลี่ยนเวลาจนนาฬิกาชีวิตเราตามไม่ทันนั่นเอง เนื่องจากนาฬิกาชีวิตเราจะทำงานตลอด 24 ชั่วโมงตามสิ่งเร้าที่มากระตุ้น เช่น การกิน และการนอน ปฏิกิริยาต่อแสงสว่างและความมืด คนที่เคยนอน 4 ทุ่มตื่น 6 โมงเป็นประจำ นาฬิกาชีวิตก็จะเดินตามนั้น เมื่อเดินทางไปต่างโซนเวลามันจึงรวนไปชั่วขณะ ยิ่งข้ามโลกไปไกลมาก ยิ่งอ่อนเพลียมาก เชื่อว่าการเดินทางข้ามโซนเวลาไปทางทิศตะวันออกจะทำให้ร่างกายต้องพยายามปรับตัวมากขึ้นกว่าไปทางทิศตะวันตก

จัดการกับอาการ Jet Lag

นับว่ายังดีที่อาการเหล่านี้มักจะเป็นเพียงชั่วข้ามคืน แต่ก็เล่นเอาหลายคนทรมานไม่น้อย ตรงนี้มีข้อแนะนำบางอย่างเพื่อช่วยลดอาการ Jet Lag ลงได้บ้างค่ะ

  • หาเที่ยวบินที่จะไปถึงที่หมายตอนกลางคืน จะช่วยให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับเวลาใหม่ได้ง่ายขึ้น
  • การขาดน้ำทำให้ร่างกายอ่อนเพลียง่าย จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์บนเครื่องบิน หันมาจิบน้ำเปล่าบ่อยๆ หรือดื่มน้ำผลไม้แทน
  • หาเวลาออกไปรับแดดในตอนกลางวันเมื่อถึงที่หมาย เพื่อให้ร่างกายรับรู้เวลาตื่น
  • ใครที่เคยออกกำลังกายเป็นประจำ เช่นวิ่งจ๊อกกิ้ง ก็ควรทำเหมือนเดิม เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว และทำให้พร้อมพักผ่อนเมื่อถึงเวลาพัก
  • อย่าเผลองีบหลับนานๆ จะทำให้คุณปรับตัวเข้ากับเวลาใหม่ได้ยาก ถ้าง่วงมากก็งีบสั้นๆ พอ
  • คนที่ต้องกินยาตามเวลาอย่างต่อเนื่อง ให้กินยาตามเวลาที่บ้านเดิม แต่หากจำเป็นต้องใช้ชีวิตในสถานที่ใหม่นานๆ ก็ควรค่อยๆ ปรับให้เข้ากับมื้ออาหารใหม่ เริ่มจากปรับให้ยาแต่ละมื้อห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง จนกว่าจะลงตัวกับมื้ออาหารในที่ใหม่ และเมื่อถึงเวลาเดินทางกลับบ้านก็ต้องทำเช่นเดียวกัน จนกว่าจะลงตัว

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today

  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ invariety-helath.blogspot.com แหล่งรวมบทความของคนรักสุขภาพ

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ชั่งใจสักนิดก่อนเข้าสปา

คุณผู้หญิงทั้งหลายให้ความสนใจไปใช้บริการสปาเป็นจำนวนมาก สปาจึงจัดเป็นที่สาธารณะ และอาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อต่างๆ ได้

ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีชื่อเสียงการให้บริการสปา นักท่องเที่ยว รวมถึงคนไทยต่างให้ความสนใจไปใช้บริการจนเป็นที่นิยมไปทั่ว ซึ่งหากมองย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว สปาที่เปิดบริการแบบมาตรฐานสากลในบ้านเรามีเพียงไม่กี่แห่ง ประกอบกับอัตราค่าบริการค่อนข้างสูง ทำให้ได้รับความนิยมเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เพราะในเมืองใหญ่ๆ หรือเมืองท่องเที่ยว เราสามารถพบเห็นสปาได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นย่านธุรกิจการค้า หรือแม้กระทั่งริมถนน ตรอก ซอกต่างๆ

สปาที่เปิดให้บริการมีหลากหลายแบบ อาจเป็นสปาที่ให้บริการครบวงจร ผนวกด้วยบริการเพื่อสุขภาพและความงามด้านอื่นๆ เช่น ฟิตเนส ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ห้องนวด ห้องเสริมสวย ฯลฯ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการว่าจะเน้นบริการลูกค้าอย่างไร และเนื่องจากสปามีให้เลือกมากมาย เพื่อความเป็นระเบียบ ได้มาตรฐาน และความปลอดภัยแก่ผู้ใช้บริการทั่วประเทศ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้กำหนดมาตรฐานสถานที่เพื่อสุขภาพ หรือเพื่อเสริมสวยตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

ชั่งใจสักนิดก่อนเข้าสปา

สถานที่ รวมถึงที่ตั้ง ระดับแสงสว่าง ความปลอดภัย และสุขอนามัยภายในสปา
ผู้ดำเนินการ มีมาตรฐานในการควบคุม ดูแลและความรับผิดชอบต่อธุรกิจ
ผู้ให้บริการ นักบำบัด หรือผู้นวด ต้องผ่านการฝึกอบรมตามหลักสูตร มีคุณสมบัติครบถ้วน
ความปลอดภัย มีมาตรฐานการทำความสะอาดเครื่องมือที่ใช้ในสปา รวมถึงการเตรียมพร้อมในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
การบริการ มีการแจ้งอัตราค่าบริการอย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้ารับทราบก่อนใช้บริการ

เนื่องจากผู้รักสุขภาพ โดยเฉพาะ ดังนั้นนอกเหนือจากจะเลือกสปาที่ชื่อเสียงในการบริการ มีความเชี่ยวชาญ ยังต้องเอาใจใส่ต่อความปลอดภัยของสุขอนามัยอีกด้วย โดยรายละเอียดที่คุณไม่ควรมองข้ามก่อนตัดสินใจเข้าสปา ได้แก่

สถานที่ แม้ว่าจะไม่มีข้อบังคับระบุว่า สปาควรตั้งอยู่ที่ใดเป็นพิเศษ แต่ก็ควรตั้งอยู่ในบริเวณที่ไม่มีเสียงอึกทึกรบกวน สามารถสังเกตเห็นทางเข้า-ออก ได้อย่างชัดเจน ภายในสปามีการติดตั้งใบอนุญาตประกอบสถานบริการถูกต้องตามกฎหมาย ห้องต่างๆ ต้องมีแสงสว่างพอเพียง แม้ว่าสปาส่วนใหญ่จะปรับแสงให้นวลตา เพื่อสร้างความรู้สึกผ่อนคลายก็ตาม แต่อย่างน้อยในห้องที่ใช้สำหรับนวด เช่น ห้องนวดหน้า ห้องเสริมสวย จำเป็นต้องมีแสงสว่างมากกว่าห้องอื่นๆ และที่สำคัญประตูห้องนวดทุกห้องต้องไม่มีกุญแจล็อก ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้า นอกจากนี้ภายในห้องนวดต้องไม่มีกลิ่นเหม็นอับ ต้องติดตั้งระบบถ่ายเทอากาศ รวมถึงอุณหภูมิในห้องนวดต้องไม่ร้อน หรือเย็นจนเกินไป

สุขอนามัยของผู้ให้บริการ นักบำบัด หรือผู้นวด ต้องได้รับการฝึกอบรมตามหลักสูตรมาตรฐาน และมีประกาศนียบัตรรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข ก่อนเริ่มต้นนวด ผู้นวด หรือนักบำบัด จำเป็นต้องทำความสะอาดร่างกายให้สะอาดก่อนให้บริการทุกครั้ง เล็บมือควรตัดสั้น ขัดให้สะอาด ผมต้องมัดเก็บให้เรียบร้อย ไม่ใส่น้ำหอม รวมถึงไม่ใส่เครื่องประดับใดๆ เพื่อป้องกันไม่ให้รบกวน หรือขีดข่วนขณะสัมผัส หรือนวด นอกจากนี้ผู้นวดหรือผู้บำบัดทุกคนต้องติดป้ายชื่อบนเสื้อ เมื่อมีการสอบถามถึงประกาศนียบัตรรับรองอาชีพ ต้องสามารถแสดงได้ หรือคุณอาจสังเกตจากใบรับรองบริเวณแผนกต้อนรับ เพื่อความมั่นใจในบริการ

การรักษาความสะอาด การรักษาความสะอาดภายในสปานับว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากมีคนแวะเวียนเข้าสปาจำนวนมาก และมักข้องเกี่ยวกับการสัมผัส การนวด การใช้น้ำมัน และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายต่างๆ ซึ่งหากทำความสะอาดไม่ดี ก็จะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค สามารถแพร่กระจายจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ง่าย ดังนั้นการพิถีพิถันเอาใจใส่ทำความสะอาดอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ภายในสปาจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนทุกครั้งที่เริ่มให้บริการแก่ลูกค้ารายใหม่ เช่น

  • ผ้าขนหนู เสื้อคลุมอาบน้ำ ผ้าปูเตียง ผ้าห่ม ควรผ่านการซัก อบ ผ่านการฆ่าเชื้อ ไม่มีกลิ่นอับชื้น ในทางตรงกันข้ามไม่ควรมีกลิ่นน้ำหอมแรงเกินไป เนื้อผ้าควรเป็นแบบผ้าฝ้าย 100% เพราะระบายความชื้นได้ดี และไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง และควรเปลี่ยนใหม่ทุกครั้งหลังใช้ ทั้งนี้ควรมีบริการอุปกรณ์ใช้แล้วทิ้ง เช่น หมวกคลุมผม รองเท้าสลิปเปอร์ กางเกงในกระดาษ เพราะนอกจากอำนวยความสะดวก ยังป้องกันการติดเชื้อได้อย่างดี
  • หวี แปรง ควรเปลี่ยนใหม่ทุกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อราและรังแค
  • อุปกรณ์ทำความสะอาดผิว ฟองน้ำ ใยบวบ แปรงขัดตัว แปรงขัดหน้า อุปกรณ์เหล่านี้ต้องเปลี่ยนใหม่ทุกครั้งเมื่อลูกค้ารายใหม่ใช้บริการ หรืออย่างน้อยต้องทำความสะอาด ฆ่าเชื้อเช่นกัน เพื่อป้องกันเชื้อราที่อาจสะสมอยู่
  • ห้องอาบน้ำ ห้องซาวน่า เนื่องจากเวลาเข้าสปา คุณมักจะต้องสัมผัสกับน้ำมันอโรมาเธอราพี เมื่อทำการชำระล้างร่างกาย คราบน้ำมันเหล่านี้มักติดตามพื้น ผนังห้องน้ำ หากไม่รีบทำความสะอาดทันที จะทำให้เกิดคราบสกปรก ดังนั้นหลังการใช้ห้องอาบน้ำ ห้องซาวน่า ควรมีการทำความสะอาด เช็ดถูทันที และที่สำคัญต้องไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีสารเคมี ส่งกลิ่นฉุน ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสำหรับสปาโดยเฉพาะ
  • ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในร้าน ควรเลือกสปาที่ใส่ใจในผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน มีราคาเหมาะสม เลือกสินค้าที่ได้รับการตรวจสอบจากองค์การอาหารและยา สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย ควรเลือกสปาที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพิสูจน์ว่าไม่แพ้ หรือพยายามใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติมากที่สุด ไม่เป็นกรดหรือด่างมากเกินไป และไม่มีกลิ่นน้ำหอมฉุน ซึ่งรวมไปถึงดอกไม้ตกแต่ง และเทียนหอมที่จุดในสปา ทั้งสองสิ่งจำเป็นสำหรับสร้างกลิ่นสดชื่นทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ต้องได้สมดุลกัน ไม่ส่งกลิ่นตีกันจนทำลายบรรยากาศอื่นๆ เสียหมด ที่สำคัญดอกไม้ที่นำมาโรยอ่างน้ำ ต้องปราศจากยาฆ่าแมลง และสุดท้ายห้องที่จุดเทียนหอม หรือน้ำมันอโรมาเธอราปี ต้องติดตั้งระบบระบายอากาศที่ดี

การเลือกใช้บริการสปาสักแห่ง จึงไม่เพียงต้องพิจารณาจากการบริการ ราคา หรือชื่อเสียงเท่านั้น แต่ต้องเจาะลึกลงไปในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ เพราะจุดมุ่งหมายของการเข้าสปา คือ ทั้งร่างกายและจิตใจ ได้รับการผ่อนคลายมากที่สุด คงไม่มีใครอยากจ่ายเงินแพงๆ แต่ได้รับการบริการแบบไม่เต็มร้อยแน่นอน ดังนั้นครั้งต่อไปที่จะเลือกเข้าสปา ขอให้พนักงานพาเดินสำรวจสักรอบ เพื่อเป็นตัวเสริมในการตัดสินใจย่อมไม่เสียหายค่ะ
TIPS ควรรู้ก่อนไปสปา

  • หากคุณตั้งครรภ์ หรือเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้บริการ สปาทุกครั้ง แต่ไม่แนะนำให้เข้าห้องซาวน่า หรือห้องสตรีม เนื่องจากมีอุณหภูมิสูง ทำให้หลอดเลือดขยาย หัวใจจะสูบฉีดเร็วขึ้น จะทำให้ปวดหัว มีอาการมึน ตาพร่า
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหนัก หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 ชั่วโมง ก่อนเข้าสปา แต่ก็ไม่ควรปล่อยท้องว่างเช่นกัน
  • ควรไปถึงเวลานัดล่วงหน้า 15 นาที เพื่อเตรียมพร้อมก่อนเข้ารับบริการ เช่น การพักดื่มน้ำ หรือชาสมุนไพร
  • หลีกเลี่ยงการแว็กซ์ หรือโกนขน 1 วันก่อนเข้ารับบริการขัดผิวด้วยเกลือ มิฉะนั้นผิวอาจเกิดการระคายเคืองได้
  • ควรหลีกเลี่ยงการตากแดด หรืออยู่กลางแดดจัด ก่อนการเข้ารับบริการนวดใดๆ
  • หากใส่เครื่องประดับ ให้ถอดออกก่อนเข้ารับบริการ อาจฝากไว้ในตู้นิรภัยที่ทางสปาเตรียมไว้ให้ แต่ถ้าถอดเก็บไว้ที่บ้านจะปลอดภัยที่สุด
  • ในระหว่างการรับบริการสปา ควรหลับตาและสูดหายใจเข้า-ออก ลึกๆ จะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายยิ่งขึ้น
  • ควรปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด เพื่อคุณจะได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง
  • ตลอดเวลาที่ได้รับบริการ หากรู้สึกไม่สบาย หรือไม่พอใจ ควรแจ้งกับผู้นวด หรือนักบำบัดให้ให้ทราบทันที

ข้อมูลจาก: Mr. Andrew Jacka, Horwath Spa Consulting / Mr.Richard Williams, Manager of Chiva-Som International Health Resort และภาพจาก Mandara Spa ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today

  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ invariety-helath.blogspot.com แหล่งรวมบทความของคนรักสุขภาพ

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คุณเป็นนักช้อปปิ้ง..ไร้สติหรือเปล่า?

จะว่าไปนักจิตวิทยาเขาบอกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเราจะควบคุมนิสัยการช้อปปิ้งของตัวเองได้ยากมาก

คุณเป็นนักช้อปปิ้ง..ไร้สติหรือเปล่า?

ผลสำรวจของนิตยสาร The Marketeer ที่สำรวจสาวไทยวัยทำงานอายุระหว่าง 21-29 ปี เกี่ยวกับค่านิยม ความเชื่อ และวิถีการดำเนินชีวิต ได้ผลสรุปมาข้อหนึ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจว่า กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดมีคะแนนนำลิ่วมาได้แก่ กลุ่มสาวทำงานยุคใหม่ ที่มีลักษณะเด่นคือ เป็นพวกบ้างาน ส่วนหนึ่งเพราะกลัวความไม่มั่นคง และมักจะทำงานหนักเพื่อหาเงินมาปรนเปรอความสุขให้กับตัวเอง ค่อนข้างเป็นวัตถุนิยม และมักจะหาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยการจับจ่ายซื้อของจนกลายเป็นนิสัย

หนังสือนิยายขายดีเรื่อง The Secret Dreamworld of a Shopaholic เขียนโดยนักข่าวสาวอย่าง โซฟี คินเซลลา หรือเวอร์ชั่นที่แปลเป็นไทยว่า คำสารภาพของสาวนักช้อปฯ ที่แปลโดยคุณพลอย จริยะเวช ได้ขุดคุ้ยแคะเอารูปแบบการใช้ชีวิตสาวสมัยใหม่ที่ใฝ่ใจการช้อปปิ้ง แก้กลุ้ม ออกมาตีแผ่อย่างสนุกสนานปนความสะใจ ซึ่งสะท้อนความเป็นจริงของไลฟ์สไตล์สาวๆ ยุคปัจจุบันอย่างถึงกึ๋น ที่หนังสือขายดิบขายดีก็คงเป็นเพราะเนื้อหาคงไปจี้ใจดำใครหลายๆ คนอยู่กระมัง
อาการประเภทที่ว่า ฉันรู้สึกเครียดจังวันนี้ งานก็เยอะ เจ้านายก็บ่นทั้งวัน กลับบ้านเร็วก็เหงาน่าเบื่อ เลิกงานทั้งทีขอไปเดินห้าง(สรรพสินค้า)ให้เย็นใจดีกว่าครั้งพอไปเดินเห็นเสื้อผ้าถูกใจ ราคาพอสู้ไหว ถึงเงินสดไม่มีเครดิตการ์ดที่ทำไว้ตั้งหลายใบก็ยังพอจ่าย...ว่าแล้วก็ซื้อมันซะเลยสะใจดี พอเดินไปอีกก้าวเห็นรองเท้าคู่ที่หน้าตาสวยไม่เลว มันช่างเปล่งประกายเหมือนรอให้เราเป็นเจ้าของอยู่พอดี...อย่ากระนั้นเลย....ซื้อมันไปให้เป็นเพื่อนกับรองเท้าเสื้อผ้าที่มีอยู่เต็มบ้านเสียดีกว่า แล้วก็...เอ้า...ซื้อซะ (อีกแล้ว)
ทั้งๆ ที่แผนการซื้อของเหล่านี้ไม่เคยอยู่ในหัวมาก่อนล่วงหน้าเลยสักนิดเดียว การได้จับจ่ายเงินออกไปแลกกับสิ่งของที่ถูกใจบางอย่างกลับมา ซึ่งมักจะเป็นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย นักจิตวิทยาเขาว่ามันไปช่วยทดแทนความรู้สึกสูญเสียความมั่นใจอะไรบางอย่างในตัวคนเรา คล้ายๆ กับคนที่กำลังหิวแล้วได้กินอาหาร คนช้อปปิ้งแบบไม่ยั้งคิดที่อาการหนักหน่อยก็เป็นอาการผิดปกติเช่นเดียวกับคนที่ควบคุมนิสัยการกินของตัวเองไม่ได้ อย่างคนที่เป็นโรคบูลิเมีย ที่ชอบล้วงคอให้อาเจียนหลังกินอาหาร หรืออะนอรีเซีย เห็นอะไรก็ไม่อยากกินไปหมด กินทั้งวัน ทำให้อ้วน กลับกันแต่การคลายเครียดด้วยการช้อปปิ้ง ช่างเป็นนิสัยที่เป็นอันตรายต่อสภาวะทางการเงินในกระเป๋า เป็นเหตุให้คุณอีกหลายต่อหลายคนต้องนั่งกุมขมับตอนปลายเดือน หรือเวลาที่ใบเรียกเก็บเงินบัตรเครดิตส่งมาถึงบ้าน ถึงเวลานั้นทีไรใจก็แป้ว และมักจะสำนึกผิดในวิธีการคลายเครียดที่ตัวเองทำลงไปอย่างนั้นเสียทุกที พอจัดการกับบรรดาบัตรเครดิตทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว วงจรเดิมๆ ก็เริ่มกันใหม่ในเดือนใหม่อีกครั้ง แล้วคุณล่ะ...กำลังประสบสภาวะอย่างนี้อยู่หรือเปล่าคะ?
เพราะขณะที่เรากำลังเดินเล่นอยู่ในห้างสรรพสินค้าหรือตลาดนัด หรือแม้แต่เดินเฉียดแผงลอยข้างถนน เราล้วนถูกแวดล้อมด้วยคนที่พร้อมจะจ่ายเงินซื้อของเหมือนๆ กันจำนวนมากที่พอจะส่งอิทธิพลทางความคิดมาถึงเราได้ และสนับสนุนความรู้สึกอยากช้อปของเราให้มากขึ้น ยิ่งคนที่เติบโตขึ้นมาในสังคมเมืองที่มีชีวิตอยู่กับการที่จะต้องจับจ่ายใช้สอยอยู่ตลอดเวลา การได้ใช้เงินบางทีก็เป็นการผ่อนคลายที่แสนธรรมดาวิธีหนึ่ง แต่จะไม่ใช่เรื่องผิดหากคุณช้อปปิ้งแบบ มีสติ เพราะหากว่าช้อปฯ แบบ ไร้สติ แล้วนี่ เข้าข่ายโรคจิตแล้วล่ะ แถมเห็นทีคุณจะต้องประสบความยุ่งยากทางการเงินตามมาแน่ๆ ต้องรีบแก้นิสัยเสียนี้โดยด่วน
ลองมาดูว่าพฤติกรรมการช้อปฯที่ผ่านๆ มาของคุณนั้นเข้าข่ายผิดปกติแล้วหรือยัง หากคุณตอบว่า ใช่ เกินครึ่งของคำถามต่อไปนี้นั้น ก็คงพอฟันธงลงไปได้ว่าคุณเริ่มเข้าข่ายเป็น นักช้อปฯไร้สติเสียแล้วล่ะค่ะ คุณคงต้องรีบหาทางจัดการเยียวยาตัวเองก่อนบัญชีคุณจะบานปลายไปกว่านี้
- คุณยังไม่ใช้ของที่ตัวเองซื้อมา ยอมรับมาซะดีๆ ว่ามีบางชิ้นที่คุณยังไม่แกะออกจากห่อเลยด้วยซ้ำ
- ยอดเครดิตการ์ดกี่ใบๆ ที่คุณมีต่างก็เฉียดเต็มเพดานอยู่รอมร่อแล้ว
- คุณมักจะเอาของที่ซื้อมาแล้วไปเปลี่ยนหรือคืนที่ร้านเป็นประจำ
- ตอนแรกที่ซื้อของมาคุณก็มักจะรู้สึกดีอยู่หรอก แต่พอเวลาผ่านไปคุณมักรู้สึกผิดที่ใช้เงิน พาลให้รู้สึกแย่ๆ กับนิสัยนี้ของตัวเองเป็นประจำ
- คุณไม่กล้าบอกสามีหรือเพื่อนว่าคุณไปช้อปปิ้งมา
- คุณเลือกที่จะไปช้อปปิ้งแทนการนัดเพื่อนหรือไปงานที่มีคนเชิญมาเสมอ
- หากวันไหนคุณไม่ได้ไปซื้อของ คุณมักจะกระวนกระวายและรู้สึกร้อนรุ่ม
- คุณรู้สึกดีมากๆ หากพนักงานขายพูดจาดีๆ กับคุณ และจะรู้สึกเศร้าหากพนักงานพวกนั้นไม่ต้อนรับคุณด้วยดี
- เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกแย่กับอะไรก็ตาม คุณจะรู้สึกอยากออกไปช้อปปิ้งเพื่อหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ
- คุณมักจะไม่เคยกะการล่วงหน้าว่าจะซื้ออะไร แต่ชอบที่จะไปเดินดูแล้วค่อยหยิบของที่อยากได้ในขณะนั้น
แม้ว่าการช้อปปิ้งจะทำให้คุณสบายใจจนคุณเผลอ เสพการช้อปปิ้ง โดยไม่รู้ตัว เราคงได้แต่เตือนกันให้คุณรู้จักบันยะบันยังบ้างตามสภาพเศรษฐกิจและความเป็นจริงที่หนีไม่พ้นนะคะ เพราะถึงอย่างไรการเก็บเงินไว้ใช้จ่ายในยามที่จำเป็นก็เป็นเรื่องสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต นักจิตวิทยาได้รวบรวมคำแนะนำดีๆ สำหรับเยียวยานิสัยโรคนักช้อปเอาไว้ให้แล้ว ลองทำตามดูก็คงไม่เสียหลาย เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น ดังนี้ค่ะ
- ก่อนออกไปช้อปปิ้ง ทำรายการของที่ตั้งใจจะซื้อจดใส่กระดาษให้ชัดเจน และซื้อของเฉพาะที่อยู่ในรายการเท่านั้น อย่าออกนอกรายการเด็ดขาด
- เลือกเดินคนเดียว เพราะหากไปกับเพื่อนคุณจะมีโอกาสถูกลูกยุได้สูง
- เมื่อไหร่ที่เกิดไปปิ๊งของแพงหูดับจนแทบจะอดใจไม่ได้อยู่รอมร่อ จงหยุด และให้เวลาตัดสินใจกับตัวเองสัก 24 ชั่วโมง แล้วเดินออกจากร้านไปก่อน คุณจะจัดการกับอารมณ์อยากได้ของตัวเองได้ดีขึ้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ
- หากคุณรู้สึกว่าการได้จ่ายเงินซื้อของอะไรก็ตามเป็นเรื่องที่ทำให้คุณสบายใจขึ้นมากแล้วล่ะก็ แทนที่จะซื้อของแพงๆ อย่างเสื้อผ้า รองเท้า แบรนด์เนมต่างๆ ก็ลองหันมามองของแบกะดินถูกๆ หรือซื้อพวกกับข้าว หรือของจำเป็นในครัวเรือนเสียเลยยิ่งดี หากยิ่งต่อราคาได้ คุณก็จะได้ใช้เงินน้อยลงไงคะ
- และหากคุณภูมิใจ อุ่นใจกับการมีเครดิตการ์ดติดกระเป๋าสตางค์ จนห้ามใจไม่อยู่หยิบมันออกมาใช้เรื่อยๆ แล้วนี่ เห็นทีต้องปฏิบัติการขั้นเด็ดขาด ทำใจแข็งไว้ค่ะ แล้วเก็บมันใส่กล่อง ล็อคกุญแจไว้เลย แล้วก็เอากล่องนั้นใส่ไว้อีกกล่องหนึ่ง แล้วก็ซุกไว้ลึกๆ ในตู้เสื้อผ้าที่บ้าน ทีนี้เมื่อไหร่ที่คุณอยากได้ของอะไร ทั้งๆ ที่เงินสดก็ไม่พอ (หนี้เก่าก็มีเพียบ) อย่างน้อยจะได้ชั่งใจ กลั่นกรองความอยากถึง 3 ชั้นขณะที่จะหยิบเจ้าเครดิตการ์ดเหล่านั้นมาใช้ เวลาเหล่านี้อาจจะช่วยเรียกสติและความยั้งคิดของคุณกลับมาได้บ้างค่ะ
......แล้ววันนี้คุณมีแผนจะออกไปช้อปปิ้งอยู่หรือเปล่าคะ?.....

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today

  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ invariety-helath.blogspot.com แหล่งรวมบทความของคนรักสุขภาพ

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แบ่งเวลาระหว่าง งาน-ครอบครัว

คนเราไม่สามารถกระทำทุกสิ่งให้สำเร็จได้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นคุณต้องเริ่มบริหารเวลาใหม่และจัดสรรสิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับก่อนหลัง

แบ่งเวลาระหว่าง งาน-ครอบครัว

บทความเรื่องนี้คัดสรรมาเพื่อผู้ที่ชอบพูดติดปากว่า ฉันยุ่งจนไม่มีเวลาให้กับครอบครัวหรือแม้แต่กับตัวเอง !!
เป็นเรื่องปฏิเสธไม่ได้ว่า งาน ครอบครัว และเวลาส่วนตัว สามส่วนนี้รวมอยู่ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงที่มนุษย์ทุกคนมีเทียบเท่ากันหมด แตกต่างกันตรงที่ว่าใครจะสามารถจัดสรรสัดส่วนให้ลงตัวได้มากกว่ากัน ความหมายของการจัดสรรลงตัวต้องตอบโจทย์ความต้องการของทั้งสามส่วนได้ตามเป้าด้วย
สาเหตุหลักของปัญหาครอบครัว ปัญหาชีวิตก็มาจากเรื่องนี้ ตราบใดที่คนยังต้องการเงิน ความรัก และสนองตอบความต้องการของตัวเอง ไปพร้อมๆ กัน แถมต้องแข่งขันกับคนอื่นอีกยิ่งทำให้ความสมดุลของชีวิตถูกกระทบจนเสียศูนย์ ความสำเร็จของชีวิตไม่ได้วัดกันที่ใครมีเงินมากกว่ากัน หรือความสำเร็จก้าวหน้าในหน้าที่การงานเกินหน้าคนอื่น ในทางกลับกันก็ไม่ใช่รักครอบครัวจนทิ้งงาน ทุกสิ่งควรจะเดินไปพร้อมๆ กัน อย่างสมดุล ไม่ใช่ทุ่มกับบางอย่างจนสุดโต่งในขณะที่อีกด้านหนึ่งกำลังขมวดปมปัญหาแน่นขึ้นทุกวัน

พูดง่ายๆ คือต่อไปนี้ไม่ว่าคุณจะทำอะไรต้องมีแผนทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัว จัดเป็นตารางเวลาซึ่งจะทำให้ชีวิตมีระบบมากขึ้น แล้วก็ไม่ใช่เอา 24 ชั่วโมงหาร 3 เพราะเป็นไปไม่ได้ ความสมดุลของชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ใช้ไปกับสิ่งนั้น แต่อยู่ที่คุณภาพ สาระและคุณค่าที่เราได้ทำสิ่งนั้นๆ ต่างหาก ตัวเอย่างเช่น บางคนกลับบ้านค่ำเพราะมีงานมาก แต่ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวยังสนิทแนบแน่น นั่นเป็นเพราะเขามีวิธีใส่ใจ รู้จักใช้โอกาสและเวลาให้เป็นประโยชน์

จงให้คุณค่ากับสิ่งสำคัญในชีวิต
เป็นปกติของคนที่ยุ่งมากที่มักจะลืมให้ความสำคัญกับสิ่งมีค่าในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพตัวเอง หรือความรู้สึกของคนในครอบครัว กว่าจะรู้สึกตัวก็สายเสียแล้ว เข้าทำนองวัวหายล้อมคอก ลองใช้วิธีตั้งคำถามตัวเองว่า ถ้าคุณมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 1 ปี จากนี้คุณต้องการจะทำอะไร? แล้วพิจารณาคำตอบว่าสิ่งที่คุณกำลังปฏิบัติแตกต่างจากสิ่งที่คุณต้องการอย่างไร ถ้าตอบตัวเองว่าต้องการใช้เวลากับครอบครัวของคุณเป็นอันดับแรก แล้วคุณได้จัดเวลาเพื่ออยู่กับครอบครัวหรือยัง?

วางแนวทางชีวิตและอนาคต
เมื่อรู้ความต้องการแท้จริงของตัวเองแล้ว ก็มองหาแนวทางที่จะทำให้สิ่งนั้นบรรลุผล อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไร เช่น อยากไปเที่ยวด้วยกัน ก็รีบจองห้องพักเสียเลยอย่ารีรอ

จัดเวลาให้เหมาะสม
การทำตารางเวลาเท่ากับเป็นการวางแผนและจัดระบบตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ซึ่งจะทำให้คุณทราบถึงเวลาเริ่มต้น และสิ้นสุดของภาระกิจแต่ละอย่าง ต้องเคร่งครัดและมีสมาธิกับการทำงานที่รับผิดชอบจึงจะได้งานดีมีคุณภาพ สำเร็จตรงเวลา

ที่ทำงาน
- ใช้หลักการให้ความสำคัญและการจัดตารางเวลาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ ลองมองว่าอะไรเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดที่หัวหน้างานต้องการ
- หากสิ่งที่ทำอยู่เป็นงานนอกเหนือจากงานที่รับผิดชอบ ควรบอกให้หัวหน้างานรับทราบว่ามีธุระ และจะกลับมาทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จในเวลาอื่นแทน
- ชี้แจงว่าตัวเองกำลังรับผิดชอบงานบางอย่างอยู่ ให้หัวหน้าบอกว่างานส่วนใดต้องการด่วนที่สุด
- บอกหัวหน้าถึงเวลาที่สะดวก และขอความเห็นว่า คิดอย่างไรกับเวลาดังกล่าว

ที่บ้าน
- บอกตารางงานและกิจกรรมต่อกันและกันภายในครอบครัวเพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้ง
- สังสรรค์กันในครอบครัวอย่าให้ขาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
- ฝึกให้สมาชิกในครอบครัวดูแลและช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุดในทุกเรื่อง
- ว่าจ้างพี่เลี้ยง แม่บ้านสักคนจะทำให้คุณมีเวลาเหลือในแต่ละวันมากขึ้น

สิ่งที่คุณต้องปรับตัวเพื่อปฏิบัติการตามแผนใหม่ให้สำเร็จ ต้องความตั้งใจจริง บอกตัวเองว่า จะต้องทำให้ได้ ลืมคำว่า เอาไว้ก่อน ให้สนิท

ปัจจัยหลักในการสร้างความสมดุลให้ชีวิต

1. รักษาสุขภาพให้สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมนำมาซึ่งพลังงานในการทำงานและความคิดสร้างสรรค์ที่ชัดเจนเฉียบคม
- สุขภาพกายดูแลได้ไม่ยาก ด้วยเรื่องอาหารการกิน พักผ่อนให้พอ และการออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- สุขภาพใจยากกว่า จิตใจที่สมบูรณ์ทำให้เกิดความกระปรี้กระเปร่า มีพลัง มองเหตุการณ์ร้ายเป็นเรื่องขบขัน เข้าถึงความสวยงามของสิ่งต่างๆ มองอุปสรรคเป็นประสบการณ์ชีวิต

2. ทำกิจกรรมที่มีความหมายต่อตนเองหรือผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม อาชีพที่ทำอยู่ เป็นอาสาสมัคร หรือแม้แต่การทำงานบ้าน เมื่อทำมากเกินไป ก็จะเกิดความไม่สมดุล ลองใช้วิธีประเมินสิ่งที่คุณหวังจากการทำงานเพื่อจัดการกับเวลาของคุณและสร้างเป้าหมายในชีวิต แน่นอนเพื่อหาเลี้ยงชีพ เพื่อให้มีปัจจัยในการซื้อหาสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต และแสดงสถานภาพทางสังคม ลองถามตัวเองดูว่าคุณทำงานเพื่ออะไร? และได้อะไรจากการทำงานนี้? ถ้ารู้สึกจำเจ ลองเรียนรู้วิทยาการใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงการทำงาน เช่น เข้าอบรมระยะสั้น หรืออาสาสมัครพัฒนาโครงการใหม่เพื่อความก้าวหน้าขององค์กร การทำเช่นนี้ทำให้มีคุณค่าทั้งต่อตนเอง องค์กร และครอบครัว

แบ่งเวลาระหว่าง งาน-ครอบครัว

ข้อคิดในการจัดการกับงาน
ทำงานที่ยาก เช่น แก้ปัญหาในเวลาที่คุณรู้สึกมีความพร้อมสูงสุดในแต่ละวัน
แบ่งงานใหญ่ให้เป็นชิ้นงานย่อย แล้วกำหนดเวลาเสร็จให้กับทุกชิ้นงาน
ศึกษาวิธีบริหารเวลาจากคู่มือ หรือจากบุคคลที่ประสบความสำเร็จ

3. เสริมสร้างความสัมพันธ์อันอบอุ่นระหว่างคนในครอบครัว เพื่อน และผู้ร่วมงาน ความสัมพันธ์ของคนนั้นแต่ละฝ่ายมักจะต้องอดทนกับการแสดงออกของกันและกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ควรทำเพื่อรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้คือระลึกถึงสิ่งดีๆ ที่คุณประทับใจหรือสิ่งที่คุณชอบในตัวเขาหรือเธอ จะพบว่ายังมีสิ่งดีมากมายที่ควรค่าแก่การรักษาไว้ ลองเปลี่ยนแปลงท่าทีที่เริ่มจะขัดเคืองนั้นเสียใหม่ โอนอ่อนให้กันมากขึ้น อาจนัดทานอาหารร่วมกัน เขียนข้อความสั้นๆ สื่อสารกันด้วยสำนวนที่ให้ความรู้สึกดีๆ เป็นต้น
ควรหาเวลาพูดคุย และเล่นกับลูกๆ เป็นประจำวันทุกวัน ใส่ใจถามไถ่ว่าวันนี้พวกเขาเจอะเจออะไรมาบ้าง เล่าเรื่องที่ตัวคุณเองประสบมาให้ลูกๆ ฟังแลกเปลี่ยนกัน สร้างความรู้สึกว่า เรามีกันและกันให้หยั่งรากลึกในหัวใจลูกๆ และทุกคนในครอบครัว
หาเวลาพบปะญาติ เพื่อนฝูง หรืออย่างน้อยก็โทรศัพท์พูดคุยทักทายกันเสมอๆ อย่างน้อยก็อาทิตย์ละครั้ง
หาเวลาสนุกสนานเสวนากับเพื่อนร่วมงาน เช่นรับประทานอาหารร่วมกัน หรือสังสรรค์วันศุกร์สุดสัปดาห์ เชื่อมสัมพันธภาพที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมงานมากขึ้น

4. ความสงบสุขทางจิตใจ แม้ว่าคุณมีเรื่องวุ่นวายใจต้องขบคิดกับปัญหารอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจ เงินทอง ความสัมพันธ์กับคน ตลอดจนเรื่องของงาน ความสงบสุขทางจิตใจจะช่วยให้คุณมีสติ พร้อมฝ่าฟันอุปสรรคและความหนักใจให้ผ่านพ้นไปได้ ลองนึกถึงสิ่งที่คุณกังวลเข้าขั้นทำให้นอนไม่หลับว่ามันเป็นสิ่งที่คุณจัดการกับมันได้ด้วยตัวเองหรือไม่

ข้อคิดที่จะช่วยให้คุณจัดการกับความกังวล
ปรับปรุงระบบการเงินของคุณ เริ่มต้นจากการออมทรัพย์ ต่อจากนั้นพยายามลดหนี้ โดยเฉพาะควบคุมการรูดบัตรเครดิตของตัวเอง ลองใช้เครดิตการ์ดเพียงครึ่งเดียวจากยอดเงินที่เคยใช้ในครั้งก่อน ลดการเดินช้อปปิ้งลง นี่สำคัญมาก !
หาพี่เลี้ยง หรือแม่บ้านดูแลคนในครอบครัวทั้งเด็กและคนชรา ตลอดจนงานบ้าน
ระวังภัยใกล้ตัว ควรสอนเด็กในบ้านให้ระวังตัวจากคนแปลกหน้า ส่งลูกเรียนศิลปะป้องกันตัว ดูแลตรวจตราเรื่องน้ำไฟภายในบ้านทุกครั้งที่ไม่ใช้ ฯลฯ
ศาสนาก็จรรโลงจิตใจให้สุขสงบขึ้นได้ ความเชื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าในการมีชีวิต

ข้อคิดที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะช่วยให้คุณสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นกับชีวิต และจะทำให้คุณพร้อมที่จะพัฒนาชีวิตของคุณไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ได้ไม่ยาก เพียงแต่เริ่มต้นลงมือทำเสียแต่วันนี้

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today

  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ invariety-helath.blogspot.com แหล่งรวมบทความของคนรักสุขภาพ

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คุณพอใจกับงานที่ทำอยู่แค่ไหน ?!

เริ่มต้นด้วยถามตัวเองก่อนว่า คุณมีความต้องการอะไรจากงานที่ทำอยู่ คุณพอใจหน้าที่ประจำที่ทำอยู่นี้หรือเปล่า

คุณพอใจกับงานที่ทำอยู่แค่ไหน ?!

บางทีคุณอาจเป็นคนที่โชคดีในจำนวนคนกลุ่มน้อยที่รู้สึกพอใจในหน้าที่การงานที่ทำอยู่ เพราะทั้งตรงกับความสามารถ และรายได้ตอบแทนเป็นที่พึงพอใจ คุณจะเห็นด้วยไหมว่า ถ้าถามคนวัยทำงานดู มักจะได้คำตอบส่วนใหญ่คือไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง คือไม่พอใจกับลักษณะงานที่ทำ หรือไม่พอใจกับรายได้ที่ได้รับ ถ้าเป็นอย่างนี้ชีวีจะมีสุขได้อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขเสียแล้ว
เริ่มต้นด้วยถามตัวเองก่อนว่า คุณมีความต้องการอะไรจากงานที่ทำอยู่ คุณพอใจหน้าที่ประจำที่ทำอยู่นี้หรือเปล่า แล้วหน้าที่ที่ทำประจำนี้ตรงตามความต้องการของคุณหรือเปล่า คุณลองถามตัวเองซ้ำๆ คุณอาจจะค้นพบระหว่าง ความจำเป็น และ ความพอใจ ซึ่งทั้งสองคำนี้มีความต่างกันมากและมีความสำคัญด้วยกันทั้งคู่ บางครั้งคุณมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อตอบสนองความจำเป็น ในขณะที่บางครั้งไม่ได้พอใจกับงานนั้นสักเท่าไร แล้วทำอย่างไรล่ะถ้าเป็นแบบนี้...วิธีคือ คุณจะต้องมองไปที่เป้าหมายระยะยาว แล้วถามตัวเองซ้ำอีกครั้งว่า คุณต้องการอะไรหรือปรารถนาให้ชีวิตเป็นอย่างไร ที่ไหนที่คุณจะได้มันมา และ คุณต้องทำอย่างไรถึงจะได้มาใน 5 ปี แล้วอีก 10 ปี จากนี้คุณจะเป็นอย่างไร
หากว่าคุณค้นพบคำตอบเหล่านี้ให้กับตัวเองได้ และหากคุณพบว่างานที่ทำอยู่ไม่น่าพอใจนัก หรือไม่สามารถช่วยให้คุณไปสู่เป้าหมายชีวิตที่วางไว้ได้ จะมีทางเลือกอื่นอีกหรือไม่ บางครั้งการคิดที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำมานานๆ ก็ดูจะทำให้ประสาทเสียเหมือนกัน แต่ถ้าคุณค่อยๆ คิดและพิจารณาทางเลือกอย่างใจเย็นและรอบครอบมันก็น่าจะดีการเสียเวลาชีวิตอยู่กับสิ่งที่ไม่สามารถเติมฝันคุณให้เป็นจริงได้ ถ้าคุณพบแล้วว่าตัวเองต้องการอะไร มองให้ออกว่าต้องไปทางไหนจึงจะถึง ก็คงต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้วล่ะ...
ทางเลือกเพื่อปรับปรุงและพัฒนาไปสู่เป้าหมายชีวิตของคุณ
หาทางเปลี่ยนแปลงลักษณะงานที่ทำ โดยคุยกับหัวหน้าหรือผู้บริหารของคุณ เช่น ขอเปลี่ยนแผนก เปลี่ยนบทบาทหน้าที่ หรือของานที่ท้าทายและตรงเป้าหมายกว่าเดิม
หางานใหม่ที่เหมาะสมกับตัวคุณและเป้าหมายมากกว่านี้
ถ้ายังค้นไม่พบว่าตัวเองต้องการอะไร ให้หยุด แล้วเริ่มตั้งต้นทบทวนและวางแนวทางใหม่ที่ชัดเจนขึ้นให้กับตัวเอง
ถ้าคิดว่างานที่ทำพอไปไหว จงทำงานต่อไปให้ดีที่สุด แล้วเร่งหาความรู้หรือทักษะใหม่เสริม เพื่อสร้างโอกาสในอนาคตให้สามารถเปลี่ยนงานใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ทำงานอื่นนอกเวลาจากงานประจำ ที่จะทำให้คุณบรรลุความฝันและเป้าหมายชีวิตได้สำเร็จ
เอาล่ะทีนี้สำหรับคนที่ยังค้นไม่พบตัวเอง และไม่เคยมีเป้าหมายให้ชีวิตมาก่อนคงถึงเวลาแล้วที่คุณจะทบทวนบทบาทที่เป็นอยู่ กับความฝันที่อยากจะเป็น แล้วคุณจะค่อยๆ มองเห็นเส้นทางไปชัดเจนมากขึ้นค่ะ จงรีบกำหนดเส้นทางให้ตัวเองอย่าปล่อยให้กระแสน้ำพัดชีวิตไปเรื่อยๆ เพราะมันอาจจะไม่ถึงฝั่งแต่วนเวียนอยู่กลางทะเลก็เป็นได้ ถึงวันหนึ่งหมดแรงตามวัยแล้วจะหันหัวเรือหาฝั่งไม่ทันนะคะ

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คุมน้ำตาลเพื่อแผลผ่าตัด !

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เหมาะสมอย่างเคร่งครัดในช่วงก่อนการผ่าตัด จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อนได้ไม่น้อย

คุมน้ำตาลเพื่อแผลผ่าตัด !

สำหรับคนเป็นเบาหวาน เมื่อมีเหตุให้ต้องทำการผ่าตัดด้วยเรื่องอะไรก็ตาม หลายคนคงเป็นกังวลใจไม่น้อยเกี่ยวกับการติดเชื้อโดยเฉพาะที่แผลผ่าตัด

แต่จากการศึกษาวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ โดยทีมวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล สหรัฐอเมริกา พบว่า

การศึกษาดังกล่าวนี้ทำในผู้ที่เป็นเบาหวานที่จำเป็นต้องทำการผ่าตัดด้วยโรคที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ จำนวน 490 คน อายุเฉลี่ย 71 ปี คณะวิจัยทำการวัดระดับฮีโมโกลบินในเลือดช่วง 180 วันก่อนผ่าตัด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการควบคุมระดับกลูโคสในเลือดระหว่างช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งเกณฑ์การวัดก็คือคนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดดี จะต้องมีระดับฮีโมโกลบิน (Hb A1c) ต่ำกว่า 7% ซึ่งเป็นเป้าหมายตามที่สมาคมโรคเบาหวานแห่งสหรัฐฯ กำหนด

ผลออกมาว่า ผู้ร่วมการวิจัย 197 คน (40%) มีการควบคุมระดับน้ำตาลที่ดี และพบอีกว่าในกลุ่มที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีนัก จะมีอัตราการติดเชื้อหลังผ่าตัดที่สูงกว่ากลุ่มแรก อาทิเช่น เกิดภาวะปอดบวม (pneumonia) แผลติดเชื้อ ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ หรือติดเชื้อในระบบหมุนเวียนเลือด ซึ่งล้วนแต่เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด มีโรคประจำตัว มีแผลที่ดูแลได้ไม่สะอาด หรือต้องทำการผ่าตัดเป็นเวลานานหรือซ้ำหลายครั้ง

รายงานการวิจัยนี้ได้ตีพิมพ์ในวารสารงานวิจัยสำหรับศัลยแพทย์ The Archives of Surgery ฉบับเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทีมวิจัยได้เสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้ว่าน่าจะเป็นเพราะคนที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดช่วงก่อนผ่าตัดที่ดี มีแนวโน้มที่จะมีระดับน้ำตาลในเลือดหลังผ่าตัดที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน ซึ่งช่วยให้สุขภาพโดยรวมและระบบการเผาผลาญอาหารของคนผู้นั้นเป็นไปด้วยดี จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหลังผ่าตัดได้มาก

อ่านถึงข้อดีของการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดตรงนี้แล้ว ใครที่เป็นเบาหวาน ถึงแม้ยังไม่มีเหตุให้ต้องผ่าตัดใดๆ อย่างในการทดลองเขาว่า ก็ควรหมั่นตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด และรักษาให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้สุขภาพของคุณยังคงแข็งแรงไม่อ่อนข้อให้กับเบาหวานที่มารบกวนนะคะ

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today

  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ invariety-helath.blogspot.com แหล่งรวมบทความของคนรักสุขภาพ

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สารชุบชีวิตยืนยงในไวน์แดง !

สารเคมีหนึ่งในกลุ่มนั้นคือ resveratrol ที่พบในไวน์แดงโดยเฉพาะไวน์ที่ผลิตในเขตหนาว เช่นในนิวยอร์ค

สารชุบชีวิตยืนยงในไวน์แดง !

เมื่อเร็วๆ นี้มีรายงานในนิวยอร์คไทมส์ว่านักชีววิทยาได้ค้นพบกลุ่มของสารเคมีในไวน์แดงที่คาดว่าจะช่วยยืดอายุคนเราให้ยืนยาวยิ่งขึ้น สารเคมีหนึ่งในกลุ่มนั้นคือ resveratrol ที่พบในไวน์แดงโดยเฉพาะไวน์ที่ผลิตในเขตหนาว เช่นในนิวยอร์ค การค้นพบนี้ทำให้อธิบายได้ว่าเหตุใดชาวฝรั่งเศสที่ชอบกินอาหารไขมันสูงซึ่งเสี่ยงต่อโรคหัวใจจึงมีชีวิตยืนยาวเหมือนคนอื่น

สารเคมีนี้ออกฤทธิ์เลียนแบบอาหารแคลอรีต่ำที่ช่วยยืดวงจรชีวิตของหนูทดลอง นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าถ้าสารเคมีเหล่านี้ออกฤทธิ์ต่อคนเหมือนกับในหนู ก็จะช่วยทำให้อายุขัยของคนยาวขึ้น 30 % ซึ่ง Dr. Leonard Guarente หนึ่งในนักวิจัยจาก Massachusetts Institute of Technology กล่าวว่าถ้าคนที่มีอายุ 50 ปีได้รับสารเคมีนี้ ก็อาจจะทำให้ชีวิตยืนยาวเพิ่มขึ้นได้อีก 10 ปี โดย Dr.David Sinclair จาก Harvard Medical School ได้แถลงข่าวการค้นพบนี้ในงานประชุมทางวิทยาศาสตร์ที่ Arolla และได้มีการตีพิมพ์ในวารสาร Nature

การค้นพบใหม่นี้เป็นที่สนใจของนักชีววิทยาหลายคนที่กำลังศึกษาเรื่องการจำกัดแคลอรีที่มีผลต่อความแก่ ว่าช่วยเพิ่มอายุขัยของสัตว์ทดลอง โดยอาหารจำกัดแคลอรีน้อยกว่าปกติ 30% จะสามารถเพิ่มวงจรชีวิตของหนูทดลองได้ 30-50% ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หวังว่าจะให้ผลต่อคนในแบบเดียวกับหนู

ถึงแม้ว่าต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะรู้ถึงผลของ resveratrol ที่มีต่อคน แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานวิจัยนี้ก็ได้เริ่มที่จะดื่มไวน์แดงกันแล้ว ซึ่งปริมาณ resveratrol ที่มีในไวน์แต่ละชนิดจะแตกต่างกัน resveratrol จะถูกสังเคราะห์โดยพืชที่อยู่ในภาวะขาดสารอาหารและมีการติดเชื้อรา สามารถพบได้ในเปลือกขององุ่นแดงและขาว แต่จะพบมากเป็น 10 เท่าในไวน์แดงเนื่องจากความแตกต่างของขบวนการผลิต นอกจากนี้ไวน์ที่ผลิตในบริเวณอากาศหนาวจะมี resveratrol มากกว่า อย่างไรก็ตาม resveratrol สลายตัวง่ายเมื่อสัมผัสอากาศ โดยอาจสลายตัวไปหมดภายใน 1 วันหลังจากที่เปิดขวดไวน์แล้ว นักวิทยาศาสตร์จึงกำลังพัฒนาดัดแปลงสารเคมี resveratrol ให้มีความคงตัวมากขึ้น

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ยุทธนาวีที่แม่น้ำ

ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน

ประเทศของผมมีแม่น้ำสำคัญที่สุดในโลกอยู่สายหนึ่งครับ ชื่อว่า แม่น้ำลำไส้ แม่น้ำของผมนี้ก็คงสกปรกเหมือนกับแม่น้ำแม่กลองนั่นแหละครับ มีแม่น้ำก็ต้องมี ปากน้ำ แต่ปากน้ำของผมนี่แปลก แทนที่จะเป็นส่วนที่น้ำไหลลงสู่ทะเล ปากน้ำของผมกลับกลายเป็นต้นกำเนิดน้ำ ครับ ก็ปาก นั่นเองล่ะครับ ผมจะเรียกปากว่าอย่างอื่น แล้วเรียกกันว่าปากกระไรได้
แม่น้ำลำไส้ของผมยาวประมาณ 20 ฟุต คดเคี้ยวไปมา อัดแน่นอยู่ในส่วนที่คุณเรียกว่า ท้อง หรือ พุง ซึ่งมีความกว้าง ความยาวไม่เกิน 2 คืบ มีความหนาเพียงคืบเดียว แถมยังมี ตับ ม้าม อยู่อีกด้วย คุณลองตามผมมาซิครับ ผมจะพาชมแม่น้ำลำไส้ฟรี ๆ
ปากน้ำ ก็คือส่วนของปาก ประกอบด้วย ลิ้น ฟัน เหงือก ช่องปาก เวลาคุณอ้าปากเต็มที่จะเห็นลิ้นไก่ สองข้างลิ้นไก่เป็นต่อมทอนซิล ซึ่งศัตรูของผมคงเล่าให้คุณฟังไปแล้วในภาคจ้าวโรค พอเลยส่วนของท่อมทอนซิลไป คุณก็จะมองไม่เห็น บริเวณนี้เป็นส่วนที่สนามบินตัดกับแม่น้ำพอดี (สงครามโรค-ตอนสนามบิน) ส่วนของแม่น้ำจะอ้อมไปด้านหลัง แต่ส่วนของหลอดลม อ้อมไปด้านหน้า ส่วนของแม่น้ำตอนนี้ จะตรง ไม่คดเคี้ยว และแคบ เป็นตอนที่เรียกว่า หลอดอาหาร ซึ่งจะยาวตั้งแต่ลำคอจนถึงลิ้นปี่
ต่อจากหลอดอาหาร แม่น้ำก็จะกว้างออก นับว่าเป็นตอนที่กว้างที่สุด ก็ว่าได้ กลายเป็นตอนที่เรียกว่า กระเพาะเหมือน ๆ กับกระเพาะหมูนั่นแหละครับ (รูป 1)


ต่อจากกระเพาะอาหาร ก็จะเป็นตอนที่แคบลงอีก เรียกว่า ลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งจะมีท่อน้ำดีจากถุงน้ำดีและจากตับมาเชื่อมต่อ และมีท่อจากตับอ่อนมาเปิดในบริเวณใกล้กัน ทั้งกระเพาะและสำไส้ส่วนต้น มีหน้าที่สำคัญ คือ การย่อยอาหาร
ต่อไปจะเป็น ลำไส้เล็กส่วนกลาง และ ส่วนปลาย ซึ่งจะเป็นตอนที่คดเคี้ยวมากที่สุด และมีพื้นที่มากที่สุด มีหน้าที่สำคัญ คือ การดูดซึมอาหาร
จากลำไส้เล็กส่วนปลาย ก็จะมีทางเปิดเข้าลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นส่วนที่แม่น้ำจะกว้างกว่าลำไส้ เล็กมีรูปร่างคล้ายเลข 7 ส่วนตรงหัวเลข 7 จะเป็นส่วนที่เชื่อมกับลำไส้เล็ก ใกล้ ๆ กันนั้นจะมีไส้ติ่ง ที่มันชอบอักเสบบ่อย ๆ ทำให้ใครต่อใครต้องไปผ่าตัดทิ้งกันเป็นแถว ๆ ลำไส้ใหญ่มีหน้าที่สำคัญ คือ การดูดน้ำจากกากอาหารที่ถูกขับจากลำไส้เล็กและเป็นที่สะสมอึอีกด้วย พอมีมากพอควรก็จะกระตุ้นโดยจำนวนอึ ทำให้ผู้เป็นเจ้าของ รู้สึกปวดท้อง ไปถ่ายอึทิ้ง อึก็จะเดินทางผ่านหางเลข 7 ลงไปสู่ ลำไส้ใหญ่ส่วนสุดท้าย และออกไปสู่ภายนอกตรงช่องอึ หรือก้นหลัง ซึ่งถ้าเรียกจริงๆ ก็น่าจะเป็นปากน้ำนะครับ แต่ผมขืนเรียกก้นว่าปาก ใครๆ คงหาว่าสติสตังไม่ดีเป็นแน่
ผมเขียนถึงตรงนี้ ผมก็ได้ยินข่าวจากวิทยุในโรงพยาบาลแจ้ว ๆ ว่า พระภิกษุวัดหนึ่งรับนิมนต์ไปฉันเพล ขากลับดื่มน้ำอัดลมแถว ๆ ชลบุรี หลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมงก็เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง จนต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นแถว ๆ ข่าวบอกว่าเป็นอหิวาตกโรคเสียด้วย
ผมเจ็บใจเหลือเกิน พูดอยู่ได้ ผมกำลังจะตายอยู่แล้ว เจ้าตัวอหิวาต์มันกำลังวิ่งยั้วเยี้ยเต็มแม่น้ำลำไส้ของผมหมด ใช่แล้วครับ ผมก็คือส่วนหนึ่งของแม่น้ำลำไส้ของพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งในข่าวนั่นแหละครับ

ความจริงมีอยู่ว่า เจ้านายของผมพระคุณเจ้าท่านเดินทางเหนื่อย ๆ คุณต๋อย เธอก็ถวายน้ำหวานใส่น้ำแข็ง เย็นเจี๊ยบน่าชื่นใจ ให้ท่านดื่ม ท่านก็ดื่มจนหมดแก้วเลย พระบางรูปดื่มถึง 2 แก้ว คุณต๋อยเธอเป็นคนชบทำบุญ แต่เธอไม่ค่อยรู้จักจ้าวโรค คงเป็นเพราะเธอไม่เคยอ่าน “หมอชาวบ้าน” เธอตื่นเช้าก็เข้าห้องน้ำปล่อยทุกข์ แต่เธอไม่ได้ล้างมือด้วยสบู่ พอเธอทำธุระของเธอเสร็จ คุณเธอก็ไปชงน้ำหวานใส่ขวดโหลใบใหญ่ไว้ เผอิญคุณต๋อยเธอเป็นคนประเภทที่เขาเรียกว่า ตัวนำเชื้อโรค คือเธอมีเชื้ออหิวาต์จำนวนน้อย ๆ อยู่ในลำไส้ของเธอ และร่างกายของเธอก็จัดระบบควบคุมไว้ได้โดยที่เธอไม่เกิดโรค เจ้าอหิวาต์ติดมือคุณต๋อย และลงไปในน้ำหวานที่เธอเตรียมไว้
อันที่จริงอหิวาต์ตกลงไปไม่กี่ตัวหรอกครับ แต่น้ำหวานเป็นอาหารที่ดีสำหรับเจ้าอหิวาต์ มันจะกินจนอิ่มปี๋ครับ พออิ่มก็จะเริ่มแบ่งตัวขยายพันธุ์ทันที พอตกถึงเย็นก็จะมีจำนวนเป็นร้อย ๆ ล้านตัวทีเดียวครับ คุณต๋อยเธอไม่ได้เก็บน้ำหวานในตู้เย็น เพราะไม่มีตู้เย็นจะใส่ แล้วเธอก็คิดว่าทำไมน้ำหวานเข้มข้นในขวด (หัวน้ำหวาน) ไม่เห็นต้องเก็บตู้เย็นเลยก็ไม่เสีย ชงแล้วก็ต้องไม่เสียเหมือนกัน เพราะยังไม่ทันจะข้ามคืนเลย ครับ น้ำหวานเข้มข้น เสียได้ยาก เพราะแบคทีเรียเจริญในน้ำหวานที่เข้มข้นจริง ๆ ไม่ได้ แต่ในน้ำหวานเจือจางขนาดที่คนกินได้ แบคทีเรียขึ้นได้ดีครับ เพียงไม่ถึงชั่วโมงก็เป็นร้อยล้านตัวทีเดียว
ตอนที่พระคุณเจ้า นายของผมจะดื่มน้ำหวาน ผมร้องห้ามจนสุดเสียง แต่พระคุณเจ้าท่านไม่ได้ยินดื่มเข้าไปจนได้ ผมแทบเป็นลม เกิดเรื่องแน่ ๆ ครับ คราวนี้ สงครามกำลังจะเกิดแล้ว เป็นสงครามทางทะเลที่ยิ่งใหญ่กว่ายุทธนาวีครั้งใด ๆ เสียอีก เพราะเจ้านายผมดื่มเอาอหิวาตกโรคเข้าไปถึงร้อยล้านตัว
ขณะนี้อหิวาต์ถึงสนามรบที่สำคัญแล้วครับ ยุทธนาวีที่กระเพาะ พอน้ำหวานตกถึงท้อง กระเพาะก็เริ่มหลั่งน้ำย่อยออกมาโดยอัตโนมัติ น้ำย่อยนี้ส่วนหนึ่งประกอบด้วยกรดเกลือ กระเพาะเริ่มเขย่า ๆ ไปมาให้กรดเคล้ากับอาหาร ในเวลาเดียวกันก็คลุกเคล้ากับเจ้าตัวอหิวาต์ด้วย มีอหิวาต์เป็นล้าน ๆ ตัวตายไป เพราะถูกน้ำกรดสาดหน้า บางตัวก็เสียโฉมพิการไปก็มี ผมอยากจะตีกระเพาะเสียจริง ๆ น่าจะจับเขย่า ๆ ให้ตายเสียให้หมด แต่ความจริง อหิวาต์มีมากเกินกว่าที่กระเพาะจะกำจัดได้ กระเพาะก็บีบตัวไล่เอาทั้งอาหารและอหิวาต์เข้าไปในลำไส้เล็กส่วนต้น ที่บริเวณนี้มีน้ำกรดเจือจางมาก แถมยังมีน้ำย่อยอื่น ๆ มาประกอบ ทำให้สภาพกรดน้อยลง และเริ่มกลายเป็นด่าง ซึ่งเป็นภาวะที่อหิวาต์ชอบมากครับ ตัวที่รอดตายจากสนามรบก็หายเหนื่อย ตัวที่พิการไปบ้าง พอที่จะรักษาหาย ก็หายวันหายคืน เมื่อมีสภาพดี อาหารดี ก็มีการแพร่พันธุ์มากขึ้น คราวนี้มากกว่าตอนที่กินเข้าไปใหม่อีกครับ
ที่จริงบริเวณลำไส้เล็กก็มีนักเลงประจำถิ่น พอที่จะขัดขวางการเจริญของอหิวาต์อยู่เหมือนกัน แต่คราวนี้ อหิวาต์จำนวนมากและแข็งแรง นักเลงโตก็เลยกระจอกไปเสียหมด เชื้ออหิวาต์อยู่ในลำไส้เล็กส่วนกลางและปลายมากที่สุด เพียงชั่วเวลาแค่ 3 ชั่วโมง ก็มีจำนวนมากมายจนนับไม่ไหวเอาล่ะครับผมเดือดร้อนแน่ ๆ
อหิวาต์เริ่มสร้างสารพิษจำนวนมาก สารพิษนี้มีคุณลักษณะบังคับให้เซลล์ลำไส้ ปล่อยน้ำออกนอกเซลล์ คือปล่อยไปในลำไส้นั่นเอง เซลล์ผนังลำไส้ไม่มีโอกาสต้านทานเลย ต้องทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข เรียกว่า ทำนบพัง น้ำทะลักเข้าไปในลำไส้มากมายเป็นลิตร ๆ ทำให้เซลล์และหลอดเลือดขาดน้ำอย่างมาก หลอดเลือดเป็นระบบปิดนะครับ ฉะนั้นคุณลองเอาหลอดกาแฟมาอันหนึ่ง ดูดน้ำให้เต็มแล้วเอามืออุดปลายข้างหนึ่งไว้ ต่อไปดูดน้ำกินเสียให้หมด คุณจะเห็นว่าหลอดกาแฟตีบทันที เส้นเลือดก็เหมือนกันครับ ถ้าน้ำถูกดูดออกไป เส้นเลือดก็จะตีบ การทำงานจะเสียไปหมด เซลล์จะขาดออกซิเจน จะเกิดภาวะที่เรียกว่า ช็อค เกิดขึ้น
ลำไส้รู้ตัวแล้วครับว่า ข้าศึกบุกหนัก พยายามส่งสัญญาณให้หน่วยกลางรู้ หน่วยกลางส่งทหารทัพหน้าไปที่ลำไส้ แต่ทำอะไรไม่ได้มากนัก เพราะเชื้ออยู่ในช่องลำไส้ ไม่ได้อยู่ที่ผนังลำไส้ จึงให้วิธีจู่โจม คือเร่งให้ลำไส้บีบตัว ไล่เชื้ออหิวาต์ไปสู่นอกร่างกายเป็นการใหญ่ พระคุณเจ้าของผมก็เกิดอาหารท้องร่วงอย่างแรง ถ่ายทีละมาก ๆ อึเหลว เป็นสีน้ำซาวข้าว ผลดีต่อตัวเองคือ อหิวาต์ถูกขับถ่ายออกไปจนเหลือน้อย แต่ในเวลาเดียวกัน ก็เสียน้ำไปมากมายในระยะเวลาสั้นๆ นอกจากนั้นยังเสียเกลือแร่ที่สำคัญของร่างกายอีกด้วย ทำให้สภาวะกรด-ด่างในร่างกายเสียไป ภาวการณ์แลกเปลี่ยนออกซิเจนก็เสียไปยิ่งขึ้นอีก ทำให้อาการช็อคแย่ลง ๆ
ผมว่าขณะนี้ถึงขั้นวิกฤต เหมือนอัฟกานิสถานตอนถูกรัสเซียช่วยปฏิวัติเมื่อ 2-3 เดือนก่อนโน้น พระคุณเจ้าของผมทำท่าจะแพ้จ้าวโรคเสียแล้วครับ
โชคดีอยู่นิดหนึ่งที่พระคุณเจ้าของผมยังหนุ่มแน่น และมาถึงโรงพยาบาลก่อนระยะช็อคเล็กน้อย คุณหมอเธอก็ให้น้ำเกลือ ฉีดยา ให้อ๊อกซิเจน อะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง สัก 2-3 ชั่วโมง พระคุณเจ้าของผมก็ดูดีขึ้น ผมเริ่มหายอึดอัด หายใจโล่งขึ้น สภาพทั่วไปก็ดีขึ้น พอดีกับคุณอหิวาต์ถูกขับถ่ายออกไปนอกร่างกายจำนวนมากพร้อม ๆ กับสารพิษ ผมก็สบายขึ้น ประกอบกับได้น้ำได้ยาจากหมอ ทำเอาผมเริ่มสอดส่ายมองหาหลวงตาแสงเพราะผมออกจะเป็นห่วงท่านมาก ท่านดื่มน้ำหวานถึง 2 แก้ว และชราภาพแล้วด้วย
ผมมองเห็นท่านแล้ว ท่านกำลังอยู่ในสภาพตรีทูต และในที่สุดท่านก็มรณภาพ แสดงว่าข้าศึกชนะสงครามครับผม ผมมองเห็นหลวงตาแสง ตาลึกโบ๋ แก้มตอบ ผิวหนังเหี่ยวย่นมากยิ่งกว่าใครๆ แสดงถึงการสูญเสียน้ำจากเซลล์ต่างๆ ของร่างกายไปเป็นจำนวนมาก เกินกว่าที่จะแก้ไขได้แล้วครับ ผมเศร้าจริง ๆ
วันรุ่งขึ้น คุณต๋อยเธอรีบมาเยี่ยมพระภิกษุที่อาพาธ เพราะเธอได้ยินทางวิทยุว่าเธอเป็นเหตุ พอมาถึงเธอก็ร้องถามหาหลวงตาแสง เพราะเธอเคารพท่านมาก ผมอยากตะโกนดัง ๆ ว่า
ช้าไปแล้วต๋อย”
ปล. ครั้งนี้ขอดภาคพิเศษ เพราะยาวเกินไปแล้วครับ
จากผม “นายเซลล์ผนังลำไส้เล็กของพระคุณเจ้า”

  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ invariety-helath.blogspot.com แหล่งรวมบทความของคนรักสุขภาพ

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

โรคหูน้ำหนวกเรื้อรัง

ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน

เป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็กนักเรียน ประมาณกันว่า 2% ของเด็กนักเรียนเป็นโรคนี้ และ 5% ของเด็กที่เป็นโรคนี้เป็นหูน้ำหนวกชนิดอันตราย โรคนี้มักจะไม่เกิดกับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคหูน้ำหนวกแสดงว่า เขาเป็นโรคนี้ตั้งแต่เด็ก และเป็นเรื้อรังกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่
ลักษณะพิเศษของโรคนี้ ได้แก่ เป็นเรื้อรังกันคนละหลาย ๆ ปี และไม่มีอาการปวดหู (นอกจากจะมี
โรคแทรกซ้อนเกิดขึ้น)

รูปที่ 1  :  หูปกติ

รูปที่ 2 :  แสดงแก้วหูทะลุ และกระดูกหูบางส่วนถูกทำลายจากโรคหูน้ำหนวก
โรคหูน้ำหนวกเรื้อรัง คืออะไร ?

โรคหูน้ำหนวกเรื้อรัง หมายถึง อาการอักเสบของหูชั้นกลาง (ดูรูปที่ 1) จากเชื้อแบคทีเรีย การอักเสบนี้จะทำให้มีหนองขังอยู่ภายในหูชั้นกลางและทำให้แก้วหูทะลุเป็นรูกว้าง (รูปที่ 2) บางครั้งจะเกิดการอักเสบและมีหนองขังอยู่ในกระดูกมาสตอยด์ กระดูกนำเสียงบางชิ้นหรือทั้งหมด จะถูกทำลายจากการอักเสบ และถ้าการอักเสบรุนแรงมาก เชื้อแบคทีเรียอาจลุกลามเข้าไปในสมองทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และเป็นฝีในสมองได้
หูน้ำหนวกไม่ใช่เกิดจากน้ำเข้าหู
คนทั่วไปมักจะเข้าใจว่า หูน้ำหนวกเกิดจากน้ำเข้าหู ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้นทั้งนี้เนื่องจากว่าหูชั้นนอก แยกจากหูชั้นกลางอย่างเด็ดขาด โดยมีเยื่อแก้วหูกั้นอยู่ (รูปที่ 1) น้ำจากภายนอกจะไม่สามารถเข้าไปในหูชั้นกลางได้เลย ถ้าแก้วหูไม่เคยทะลุมาก่อน การที่น้ำเข้าหูแล้วเกิดมีน้ำหนวกไหล แสดงว่าเด็กคนนั้นเคยเป็นโรคหูน้ำหนวกมาก่อน แต่อาการของโรคสงบลงชั่วคราว แก้วหูที่เคยทะลุจากโรคนี้ยังไม่อาจสมานติดกันได้ เมื่อน้ำเข้าหู น้ำจากหูชั้นนอกจะผ่านรูทะลุแก้วหูเข้าไปในหูชั้นกลาง ทำให้เกิดการอักเสบของหูชั้นกลางใหม่ จึงทำให้มีน้ำหนวกไหลอีก (รูปที่ 3)

ความจริงแล้ว โรคหูน้ำหนวกเรื้อรังเกือบทั้งหมด เกิดจากการอักเสบของลำคอส่วนบนและระบบหายใจส่วนต้นที่ลุกลามเข้าไปยังหูชั้นกลาง ผ่านทางท่อยูสะเตเชี่ยน โรคต่าง ๆ เหล่านี้ ได้แก่ โรคหัด, ไซนัสอักเสบ, ไข้หวัด, ต่อมทอนซิลอักเสบ สุขภาพของเด็กก็มีส่วนสำคัญต่อการเกิดโรคหูน้ำหนวกด้วย เด็กที่เป็นโรคขาดอาหารสุขภาพไม่แข็งแรงและไม่ระมัดระวังรักษาความสะอาด จะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคต่ำ และเป็นโรคนี้ได้ง่ายกว่าเด็กที่มีอนามัยสมบูรณ์

โรคหูน้ำหนวกที่มีอันตรายถึงตายก็มี

โดยทั่วไป เราแบ่งโรคหูน้ำหนวก เป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ โรคหูน้ำหนวกชนิดไม่มีอันตราย และ โรคหูน้ำหนวกชนิดมีอันตราย จากการสำรวจโรคหูของโครงการโสตพิทักษ์ ของสมาคมโสต ศอ นาสิกแพทย์แห่งประเทศไทย พบว่า 5% ของเด็กที่เป็นโรคหูน้ำหนวกรื้อรังเป็นชนิดอันตราย

เราจะทราบได้อย่างไรว่าชนิดไหนเป็นชนิดอันตราย? ขอให้สังเกตดูจากตารางข้างล่างนี้

โรคหูน้ำหนวกมีอันตรายอย่างไร?
โรคหูน้ำหนวกะมีอันตรายก็ต่อเมื่อมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้น ชนิดไม่มีอันตรายมักจะไม่มีโรคแทรกซ้อน นอกจากจะกลายเป็นชนิดที่เป็นอันตรายทีหลัง (ซึ่งเป็นไปได้น้อย) แต่โรคหูน้ำหนวกชนิดนี้ก็ยังมีผลเสียต่อเด็กนักเรียนอยู่เหมือนกัน คือ ถ้าเป็นหูน้ำหนวกทั้ง 2 ข้าง เด็กจะหูตึง เรียนหนังสือไม่ดี หรือสอบตก และมีน้ำหนวกไหลเป็นที่รังเกียจของเพื่อนนักเรียน
โรคแทรกซ้อนที่สามารถทำให้ตายได้ ได้แก่ โรคแทรกซ้อนที่เกิดจากเชื้อโรคลุกลามเข้าไปในสมองเสียส่วนใหญ่ คือ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นฝีในเนื้อสมอง หรือรอบ ๆ เยื่อสมอง โรคแทรกซ้อนที่ทำให้เกิดความพิการของร่างกายได้แก่ ปากเบี้ยว, หูหนวกสนิท, โรคแทรกซ้อนที่ทำอันตรายต่อร่างกายชั่วคราวได้แก่ ฝีชนิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ หู เช่น ฝีที่หลังหู บางรายฝีแตกแล้ว แต่ยังมีแผลเป็นและมีหนองออกอยู่เรื้อรังเป็นเดือนหรือเป็นปี เป็นฝีเหนือใบหู, เป็นฝีที่หน้าหู, เป็นฝีที่คอ ส่วนที่ต่ำจากใบหูเล็กน้อย ฝีชนิดต่าง ๆ เหล่านี้อาจทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคไปในเส้นเลือด ทำให้เลือดเป็นพิษ อาจถึงตายได้

จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นหูน้ำหนวกชนิดอันตราย ?
ขอให้สังเกตดูตารางเปรียบเทียบระหว่างโรคหูน้ำหนวกชนิดอันตรายกับชนิดไม่อันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อ 1 ถึง ข้อ 3 ซึ่งจะเป็นเครื่องบ่งชี้ได้อย่างดี นอกจากนี้พึงสังเกตว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้และมีอาการดังต่อไปนี้ จะเป็นโรคหูน้ำหนวกชนิดอันตรายเสมอ คือ พบว่ามีฝีหนองเรื้อรังหลังใบหู, มีอาการปากเบี้ยว หรือ หูหนวกสนิท

ผู้ป่วยคนนี้กำลังอยู่ในระหว่างอันตราย ?
อย่าลืมว่า หูน้ำหนวกชนิดอันตราย จะมีอันตรายต่อเมื่อมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้น และโรคแทรกซ้อนจะเกิดเมื่อไหร่ก็เกิดได้ ดังนั้น ผู้ที่เป็นหูน้ำหนวกชนิดอันตราย จะมีอันตรายเกิดขึ้นกับตนเองได้ทุกเมื่อ จากสถิติพบว่า ยิ่งผู้ป่วยเป็นโรคนี้นานเท่าไร โอกาสที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนจะมีมากขึ้นเท่านั้น ขอให้สังเกตว่า ผู้ป่วยที่มีอาการต่อไปนี้ กำลังอยู่ในระหว่างอันตรายคือ
(1) มีไข้สูง ร่วมกับมีอาการทางสมองอื่น ๆ เช่น คอแข็ง ชัก เกร็ง ซึมและเพ้อ
(2) มีฝีรอบ ๆ หู เกิดขึ้น
(3) ปวดหูข้างนั้นอย่างรุนแรง
(4) ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
(5) มีอาการบ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน และตากระตุก
ถ้าพบอาการข้อหนึ่งข้อใดดังกล่าว ควรรีบไปหาหมอที่โรงพยาบาลทันที

จะดูแลตัวเองอย่างไรถ้าเป็นหูน้ำหนวก ?
ก่อนอื่นให้สังเกตว่า มีอาการที่เข้าในลักษณะของหูน้ำหนวกชนิดอันตรายหรือไม่ ถ้ามีหรือสงสัย ก็ควรจะปรึกษาแพทย์เป็นการดีที่สุด
ถ้าเป็นชนิดไม่มีอันตราย (มีน้ำหนวกไหลเป็น ๆ หาย ๆ เคยใช้ยารักษาแล้วน้ำหนวกหยุดไหลได้ชั่วคราว อาการหูตึงไม่มาก และไม่มีโรคแทรกซ้อน) ขณะที่มีน้ำหนวกไหล ให้กินยาแก้แพ้-คลอร์เฟนิรามีน (เม็ดละ 10 สตางค์) ผู้ใหญ่กินครั้งละ 1 เม็ด เด็ก , เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง และใช้ยาหยอดหูที่เข้ายาคลอแรมเฟนิคอล เช่นยาหยอดหูคลอโรคอล (ขวดละ 16 บาท) หรือยาหยอดหูเคมิซีติน (ขวดละ 12 บาท) หยอดหูวันละ 2-3 ครั้ง ส่วนยาปฏิชีวนะ สำหรับผู้ใหญ่ไม่ต้องให้ สำหรับเด็กให้กิน เพนนิซิลลินวี
(เพนวี)
ครั้งละ 125 มิลลิกรัม (2 แสนยูนิต) วันละ 4 ครั้งก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงและก่อนนอน ราคาอย่างเม็ด ๆ ละ 50 สตางค์ อย่างน้ำเชื่อม ขวดละ 10 บาท
ควรให้ยาเหล่านี้จนกว่าจะไม่มีน้ำหนวกไหล จึงค่อยหยุดยา ยกเว้น ผู้ป่วยที่เป็นหวัดเรื้อรัง มีอาการเป็นหวัดคัดจมูกทุกวัน ก็จำเป็นต้องให้ คลอร์เฟนิรามีน วันละ 2-3 ครั้งตลอดไป
ส่วนผู้ที่มีอาการหูตึง ต้องการให้หูได้ยินชัดกว่าเดิม ก็ควรจะไปรักษากับแพทย์หูคอจมูก แพทย์จะทำการผ่าตัดปิดแก้วหู และซ่อมแซมกระดูกนำเสียง ช่วยให้การได้ยินดีขึ้น

                                   โรงพยาบาลที่มีแพทย์หู คอ จมูก อยู่ประจำ

(1) จังหวัดเชียงใหม่ : โรงพยาบาลนครเชียงใหม่, โรงพยาบาลแมคคอมิค
(2) จังหวัดลำปาง : โรงพยาบาลประจำจังหวัดลำปาง
(3) จังหวัดขอนแก่น : โรงพยาบาลประจำจังหวัดขอนแก่น
(4) จังหวัดนครพนม : โรงพยาบาลประจำจังหวัดนครพนม
(5) จังหวัดระยอง : โรงพยาบาลสามย่าน
(6) จังหวัดจันทบุรี : โรงพยาบาลประจำจังหวัดจันทบุรี
(7) จังหวัดชลบุรี : โรงพยาบาลชลบุรี
(8) จังหวัดนครศรีธรรมราช : โรงพยาบาลนครคริสเตียน
(9) จังหวัดสงขลา : โรงพยาบาลประจำจังหวัดสงขลา, โรงพยาบาลหาดใหญ่
(10) กรุงเทพฯ : โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬาฯ, โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า, โรงพยาบาลราชวิถี, โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช, โรงพยาบาลวชิระ, โรงพยาบาลตำรวจ, โรงพยาบาลรถไฟ, โรงพยาบาลการไฟฟ้านครหลวงและ โรงพยาบาลเอกชนเกือบทุกแห่ง

  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ invariety-helath.blogspot.com แหล่งรวมบทความของคนรักสุขภาพ

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อ้ายด่าง

ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน

นายของผมชื่ออะไรผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าใคร ๆ ชอบเรียกว่า “อาแป๊ะ” ที่จริงอาแป๊ะก็ไม่ใช่คนแก่เฒ่าอะไร อายุก็ราว ๆ 50 เห็นจะได้ ร่างกายแข็งแรง เสียอย่างเดียวหลังโกงเล็กน้อย การที่อาแป๊ะหลังโกง ก็เพราะเป็นยี่ปั๊ว ขายน้ำแข็ง จำเป็นต้องยกน้ำแข็งก้อนโต ๆ เป็นประจำ
เมื่อยี่สิบปีก่อนอาแป๊ะเป็นเพียงลูกจ้างส่งน้ำแข็ง แต่ด้วยความขยันอดทน ตอนนี้ก็เลยเป็นเจ้าของกิจการส่งน้ำแข็งเสียเอง อาแป๊ะมีรถจี๊พคันหนึ่ง มีลูกสาวคนหนึ่ง และมีอ้ายด่างด้วย อ้ายด่างเป็นหมาลูกผสม ขนยาว สีขาวสลับดำ อาแป๊ะรักอ้ายด่างสุดสวาทขาดใจ
ชีวิตอาแป๊ะลำบากมามาก ทำงานหนักตลอดเวลา ปกติจะไม่ยิ้มกับใครเลย ยกเว้นกับอ้ายด่าง อ้ายด่างมันก็แสนจะรู้ใจอาแป๊ะ อาแป๊ะอยู่ทีไหนก็พบอ้ายด่างอยู่ที่นั่น แม้แต่อาแป๊ะเอาน้ำแข็งก้อนใหญ่ ๆ วางที่พื้นซีเมนต์หน้าบ้าน แล้วใช้เลื่อยใหญ่ ๆ ตัดน้ำแข็ง อ้ายด่างนั่งอยู่ใกล้ด้วย วันไหนอากาศร้อน ๆ อ้ายด่างก็จะเอาจมูกชนน้ำแข็งเล่น หรือไม่ก็นอนพิงก้อนน้ำแข็งเย็นสบายไป อาแป๊ะของผมก็ไม่ว่าอะไรเพราะความไม่รู้ประกอบกับความเคยชิน
อ้ายด่างของอาแป๊ะเป็นหมาที่เกิดในเมืองไทย ถึงแม้จะมีสายเลือดหมาไทยอยู่มากก็ตาม แต่ก็เป็นหมาที่ชอบอากาศเย็นมาก และถ้าร้อนก็จะโมโหเอาง่าย ๆ เสียด้วย ปกติอาแป๊ะก็จะเก็บน้ำแข็งก้อนใหญ่ ๆ ไว้กับพื้นบ้าน โดยมีกระสอบเก่า ๆ คลุมไว้ก่อนที่จะเลื่อยออกจำหน่าย สถานที่นั้นเลยกลายเป็นห้องแอร์ อ้ายด่างจะปีนขึ้นไปนอนบนกระสอบคลุมน้ำแข็งนั้นเย็นสบายไป
หลังจากอาแป๊ะเลื่อยก้อนน้ำแข็งแล้ว ก็จะบรรทุกขึ้นรถจี๊พ ซึ่งก็จะวางกับพื้นรถอีกนั่นแหละ อาแป๊ะมักจะใส่รองเท้าฟองน้ำปีนขึ้นปีนลงอยู่บ่อย ๆ ส่วนอ้ายด่างก็เช่นกันครับ พออาแป๊ะขนของเสร็จ อ้ายด่างก็กระโดดขึ้นไปสถิตอยู่บนก้อนน้ำแข็งท้ายรถตามเคย แถมโผล่หน้าชูคออย่างสบายอกสบายใจ อ้ายด่างไม่เคยใส่รองเท้า อึแล้วไม่เคยล้างก้น แถมยังชอบนั่งห้องแอร์และรถแอร์เสียด้วย คุณ ๆ ลองหลับตาดูสภาพคุณด่างกับก้อนน้ำแข็งซิครับ
ผมเองใจหายใจคว่ำทุกทีที่คุณด่างเสด็จอยู่บนน้ำแข็ง เพราะบางวันผมก็เห็น คุณด่างไปคุ้ยกองขยะที่อยู่หน้าบ้านอาแป๊ะ ดมโน่นดมนี่ คุ้ยอะไรต่ออะไรกิน พออิ่มหนำสำราญดีแล้ว คุณด่างก็ไปเลียก้อนน้ำแข็งแก้คอแห่ง เสร็จแล้วก็นอนบนก้อนน้ำแข็งนั้นเอง
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงนะครับ ไม่เชื่อคุณก็แวะไปดูได้ที่ตึกแถวเกือบสุดซอยเกื้อวิทยา ถนนเจริญนคร มีให้ดูทุกวันครับ วันหนึ่งคุณด่างเธอก็ไปเหยียบเอากับระเบิดสีเหลืองเละ ๆ มีกลิ่นเหม็นอบอวล แต่คุณด่างเธอว่าหอม ดม ๆ แล้วเธอก็ลองกินดูเล็กน้อย ชะรอยจะรู้สึกว่ามีอะไรมาติดที่ปาก คุณด่างก็เลยรีบกลับบ้านเอาจมูกไปเช็ดกับกระสอบคลุมน้ำแข็ง แล้วก็เลียน้ำแข็งอีกเล็กน้อยตามระเบียบผมมองเห็นแล้วรู้สึกเสียวจริง ๆ
คุณ ๆ ลองเอากล้องจุลทรรศน์มาส่องดูกับระเบิด (อึ) ที่คุณด่างทั้งเหยียบทั้งกินดูซิครับ คุณจะพบว่ามีแบคทีเรียจำนวนมากมายก่ายกองทีเดียวครับ เพียงแต่ขนาดปลายหัวไม้ขีดก็มีแบคทีเรียเกินหนึ่งร้อยล้านตัวแล้วครับ คุณลองคิดถึงสภาพของน้ำแข็งผสมกับระเบิดซิครับ นี่ถ้าคุณ ๆ ไม่มีระบบคุ้มกันดีเยี่ยมละก็ ผมว่าตายกันไปหมดโลกแล้ว
แบคทีเรียนับร้อย ๆ ล้านตัว บนก้อนน้ำแข็ง มันไม่ตายนะครับ อย่าเข้าใจผิด น้ำแข็งมีคุณสมบัติทำให้แบคทีเรียไม่เพิ่มจำนวนมากขึ้นก็จริง แต่ไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าเลยนะครับ แบคทีเรียที่ติดอยู่บนผิวน้ำแข็งยังอาจแทรกตัวเข้าไปในก้อนน้ำแข็งได้ โดยเฉพาะน้ำแข็งที่อัดตัวไม่แน่น มีฟองอากาศอยู่ด้วย
แบคทีเรียที่ติดมากับคุณด่าง ทั้งที่พามาจากก้อนอึ และพามาจากที่อื่น รวมทั้งจากอึของคุณด่างเอง ต่างก็นั่งกันสลอนบนก้อนน้ำแข็ง รอเวลาที่ใครคนหนึ่งมาจับเข้าปาก จะได้ทำการแพร่พันธุ์ต่อไป
ถ้าเป็นเชื้ออหิวาตกโรค ก็จะเกิดสงครามที่เพื่อนผมเคยเล่าให้ฟังแล้วในตอน “ยุทธนาวีที่แม่น้ำ” (ใน “หมอชาวบ้าน” ฉบับที่ 14 เดือนมิถุนายน 2523) แต่ถ้าเป็นเชื้ออื่น ๆ ก็จะมีอาการแปลก ๆ ออกไป แต่ส่วนใหญ่เข้าทางปากก็มีอาการท้องร่วงแหละครับ
อาแป๊ะของผมเป็นคนแข็งแรง ภูมิต้านทานโรคดีมาก เรียกว่า ดีแต่กำเนิด จะกินอะไร ๆ ก็ไม่ค่อยท้องเดินกับเขาง่าย ๆ ในลำไส้ใหญ่ของอาแป๊ะ มีนักเลงโตประจำถิ่นมากมาย มีระบบการควบคุมซึ่งกันและกันดีเยี่ยม ทำให้ระบบท้องของอาแป๊ะอยู่ในสภาพดี
ผมแบ่งนักเลงโตประจำถิ่นของลำไส้อาแป๊ะออกเป็น 3 พวกด้วยกัน พวกหนึ่งได้แก่ ส่า อีกพวกหนึ่งได้แก่แบคทีเรียที่ต้องการอ๊อกซิเจน และพวกสุดท้ายคือ แบคทีเรียที่ไม่ต้องการอ๊อกซิเจน เชื้อทั้งสามพวกนี้ จะควบคุมซึ่งกันและกันไม่ให้มากเกินไป ไม่ให้น้อยเกินไป ถ้ามีอะไรไปรบกวนความสมดุลนี้ เช่น การใช้ยาประเภท “มัยซิน” ทั้งหลาย จะมีเชื้อบางพวกตายไป ทำให้เชื้ออีกพวกหนึ่งเจริญมากจนควบคุมไม่ได้ ก็ทำให้เกิดโรคได้เหมือนกัน
พอถึงตอนนี้ผมก็ขออนุญาตไถลไปเรื่องอื่นสักหน่อยนะครับ เพราะติดใจผมมานานแล้ว ขณะนี้บ้านเรามีนมเปรี้ยวขวดเล็ก ๆ ขายส่งตามบ้านราคาตั้ง 3 บาท ทำการโฆษณาเสียจนกระทั่งรู้จักกันทั่ว ผมไม่เอ่ยชื่อละครับ เดี๋ยวบรรณาธิการของหมอชาวจะถูกเป็นจำเลย เอาเป็นว่านมเปรี้ยวขวดเล็ก ๆ ที่มีขายระบาดทั่วกรุงเทพฯนั่นแหละครับ
ที่ผมต้องเอามาพูดถึงก็เพราะผมเห็นโฆษณา คุณจะกินอาหารสำส่อนอย่างไรก็ได้ไม่เป็นไร ถ้าคุณกินนมเปรี้ยวชนิดนั้นเข้าไปด้วย นอกจากนั้นยังทำให้สุขภาพดี ผิวสวย ไม่อ้วน โอ๊ย ! สรรพคุณมากมายเหลือคณานับ มีข้อแม้ว่า จะเป็นอย่างนั้นได้ ต้องเสียเงินซื้อนมเปรี้ยวกินทุกวันนะครับ วันหนึ่งก็เป็นเงิน 3 บาท ปีหนึ่งก็ไม่ต่ำกว่าพันบาทละครับ สิ่งที่มีในนมเปรี้ยวก็คือ กรดชนิดหนึ่ง (กรดแล็คติคหรือกรดนม) น้ำตาลเล็กน้อย และแบคทีเรียประเภทแล็คโตบาซิลลัส (Lactobacillus) ซึ่งเป็นตัวทำให้นมเปรี้ยว ผู้ชายเขาก็จัดการโฆษณาว่าถ้ากินเชื้อนี้เข้าไปทุกวันแล้ว จะทำไมภูมิคุ้มกันของระบบทางเดินอาหารดี
คุณคิดดูซิครับ ระบบการคุ้มกันของทางเดินอาหารที่ธรรมชาติสร้างให้เรามาดีอยู่แล้ว เรื่องอะไรจะต้องกินตัวอะไรเข้าไปทุกวัน ๆ เพื่อสร้างระบบให้ดีด้วยเงินอีกตั้งหนึ่งพันบาทต่อปี ผมว่าคุณลองกินดูทุก ๆ วันสักปี สองปี ถ้าวันไหนไม่ได้กินละก็ ต้องเกิดอาการท้องเดินบ้างเป็นแน่ เพราะเท่ากับคุณไปสอนให้ลำไส้ของคุณชินกับการรับเชื้อแบคทีเรียจากภายนอกเข้าไป นอกจากนี้สิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปใหม่นี้ ถ้าเข้ากับสมัครพรรคพวกนักเลงโตอยู่เดิมได้ก็ดีไป ถ้าเข้ากันไม่ได้ก็ยุ่งอีก
อาแป๊ะของผมไม่สนใจนมเปรี้ยวหรอกครับ แต่ลูกสาวตัวเล็ก ๆ ของแกอายุแค่ 6 เดือนเท่านั้น ได้กินนมเปรี้ยวทุกวัน สาเหตุก็เพราะว่าอาซ้อเมียอาแป๊ะถูกสาวขายนมเปรี้ยวเกี้ยวเอาจนเข้าใจว่านมเปรี้ยวนั้นดีต่อสุขภาพลูกของแกเป็นที่สุด ถึงกับสละเงินซื้อวันละ 3 บาท ปกติครอบครัวอาแป๊ะเป็นคนประหยัดอย่างมาก อาซ้อเผอิญมีน้ำนมน้อย ลูกของแกก็เลยได้กินนมข้นหวานแทนเพราะมันถูก แถมด้วยข้าวกล้องอีกวันละมื้อสองมื้อ ดูซิครับถ้าแกเอาเงินค่านมเปรี้ยวไปซื้อนมผงให้ลูกกิน เด็กจะได้อาหารที่ดีแทนที่จะได้อาหารที่เกือบไม่มีคุณค่าเลยจาก นมเปรี้ยว นมข้นหวาน และข้าวกล้อง
วันนี้เป็นวันเคราะห์ร้ายของครอบครัวอาแป๊ะ เพราะมีคนมาขอซื้อน้ำแข็งบด อาแป๊ะเผอิญเอาก้อนที่คุณต่างพากับระเบิดมาคิดไว้ไปเข้าเครื่องบด อาซ้อเผอิญอีกนั่นแหละหยิบก้อนน้ำแข็งเล็ก ๆ ใส่ปากลูกสาว เอาละครับสงครามเกิดขึ้นอีกแล้ว ในก้อนน้ำแข็งนั้นมีตัวพยาธิเล็ก ๆ จำนวนมากทีเดียวครับ คนไทยเรามักเรียกว่าบิดมีตัว ฝรั่งเรียก เอ็นตะมีบ้า ฮิสโตลัยติกา (Entamoeba histolytica) พยาธิที่ถูกกินเข้าไปอยู่ในลักษณะหุ้มเกราะหรือซีสต์(cyst) พอถึงกระเพาะและลำไส้เล็ก ก็จะออกมาจากเกราะ และแบ่งตัวแบบจาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 ไม่นานก็มีมากมาย และพากันไปอยู่ในแหล่งที่ตนชอบคือ ลำไส้ใหญ่
ลูกของอาแป๊ะเป็นเด็กที่ได้รับอาหารผิด ๆ อยู่แล้ว คือแทนที่จะได้สารอาหารที่สำคัญ คือโปรตีน ซึ่งมีอยู่ในนมผงหรือนมสด กลับได้แต่อาหารแป้งจากนมข้นหวานและจากแป้งข้าวกล้อง รวมทั้งมีนมเปรี้ยวควบ อาหารทั้งสามชนิดนี้ไม่มีโปรตีนเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย พยาธิชนิดนี้ชอบสภาพของลำไส้ที่มีแต่อาหารแป้งอย่างนี้มาก จึงเจริญเติบโตรวดเร็ว และเข้าไปเกาะผนังลำไส้ใหญ่ แล้วปล่อยน้ำย่อยทำให้เกิดเป็นแผลเล็ก ๆ ทั่วไป ถึงร่างกายลูกสาวอาแป๊ะจะมีทหารพี ทหารเอ็ม มาต่อสู้ แต่ผนังลำไส้ที่อ่อนแอจากการขาดโปรตีนและสภาพอาหารแป้งช่วยให้มีจำนวนพยาธิเพิ่มมากมาย ลูกสาวอาแป๊ะ ก็เกิดโรคบิดจนได้
ลูกสาวอาแป๊ะ ถ่ายเป็นมูกปนเลือดและร้องไห้โยเย งอแงมากทุกวันจนอาแป๊ะ ทนไม่ไหว ต้องพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอขออึไปตรวจพบพยาธิตัวบิดเดินกันยุบยิบไปหมด เลยรีบเอาลูกสาวอาแป๊ะ ไว้รักษา กว่าจะหายดีก็ใช้เวลานานพอควร โชคของอาแป๊ะยังดีที่หมอพยายามสอนเรื่องอาหาร หลังจากนั้นลูกสาวของอาแป๊ะก็ได้กินนมผงบ้าง ทำให้สุขภาพดีขึ้นเรื่อย ๆ
ที่จริงอาแป๊ะ ก็กินน้ำแข็งก้อนเดียวกับลูกสาวด้วย แต่ผมบอกแล้วอย่างไรครับว่า ลำไส้อาแป๊ะ แข็งแรงดีมาก พอพยาธิเข้ามาก็ถูกผ่านออกไป โดยทำอะไรอาแป๊ะ ไม่ได้ ผมผู้อยู่ในลำไส้ของอาแป๊ะ ก็ยังสุขสบายดีตามเดิม 

สวัสดีครับผม เซลล์ผนังลำไส้ของอาแป๊ะ

ภาคพิเศษ

พยาธิบิดมีตัว (Entamoeba histolytica) เป็นโปรโตซัว (สัตว์เซลล์เดียว) ขนาดเล็ก มีการแพร่พันธุ์โดยการแบ่งตัว เชื้อนี้จะมี 3 ระยะ คือ ระยะตัวแก่ ที่เรียกว่า “โทรโฟซอยด์” (Trophozoite) เป็นระยะที่เคลื่อนไหวได้รวดเร็วแบบอะมีบ้า ระยะหุ้มเกราะหรือซีสต์ (cyst) และระยะก่อนหุ้มเกราะ (intermediate precyst) ปกติคนติดเชื้อโดยการกินซีสต์ ซึ่งถูกขับถ่ายออกมาทางอุจจาระ
เมื่อซีสต์เข้าไปในกระเพาะและลำไส้เล็กส่วนต้น มันจะถูกกระตุ้นให้เจริญเติบโตโดยจะมีตัวอ่อน 4 ตัว ออกมาจากแต่ละซีสต์ และแต่ละตัวก็จะแบ่งตัวต่อไปประมาณ 1-8 ตัว มันจะเคลื่อนไปอยู่ที่ลำไส้ใหญ่บริเวณซีกัม (cecum) และเพิ่มจำนวนและอายุขึ้น กลายเป็นตัวแก่ พวกตัวแก่จะปล่อยน้ำย่อยโปรตีน ทำลายผนังลำไส้ ทำให้เกิดเป็นแผลเล็ก ๆ ทั่วไป การเกิดเป็นแผลนี้เชื่อว่า มีการช่วยทำลายจากแบคทีเรียด้วย นอกจากนั้นยังขึ้นกับความรุนแรงของเชื้อ ความต้านทานของผู้ได้รับเชื้อ และที่สำคัญ พวกที่ได้รับอาหาร แป้งมากหรือพวกที่ขาดโปรตีน จะทำให้โรครุนแรงขึ้น
นอกจาก จะทำให้เกิดโรคบิดแล้ว ประมาณ 4% ของผู้ป่วย ยังทำให้เกิดฝีบิดในตับได้ ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการที่กลุ่มของตัวแก่หลุดเข้าไปในระบบเส้นเลือดของตับ (Portal circulation) และเกิดเป็นฝีที่ตับได้ สมัยก่อนผู้ป่วยมักตาย ถึงแม้ในสมัยนี้ก็เถอะ ถ้าทิ้งไว้จนเป็นมาก ก็อาจตายได้เช่นกัน

 

  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ invariety-helath.blogspot.com แหล่งรวมบทความของคนรักสุขภาพ

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552

กระดูกหัก (1)

ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน

ในยุคที่คุณทวดในปัจจุบัน ยังเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิงอยู่นั้น ปัญหาเรื่องกระดูกหักยังไม่เป็นที่พบกันได้บ่อยนัก เพราะสมัยโน้น ท่านยังไม่สามารถที่จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงเหมือนเดี๋ยวนี้ โอกาสที่จะปะทะกับกำลังอัดขนาดสูง ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ยาก นอกจากว่าเด็กชายหรือเด็กหญิงคุณทวดนั้น ท่านจะอุตริปีนขึ้นที่สูงแล้วตกลงมา หรือไม่ก็โดนทำร้ายร่างกายจนกระดูกหักปัญหาจึงจะค่อยรุนแรงหน่อย ถ้าเป็นการหกล้มธรรมดา ๆ แล้วกระดูกหัก ปัญหาก็มักจะไม่หนักหนาอะไร  (ในสายตาของหมอกระดูก
ปัจจุบัน)
ความเจริญทางอุตสาหกรรมและยานพาหนะ จึงเป็นสาเหตุสำคัญในการเพิ่มความรุนแรงของกระดูกหักในยุคนี้

กระดูกหักคืออะไร ?
ถ้าจะเปรียบเทียบกันง่าย ๆ กระดูกหักก็คล้าย ๆ กิ่งไม้หัก นั่นคือ จะต้องมีการตัดขาดของแท่งกระดูก โดยที่รอยขาดนั้น อาจจะเป็นเพียงบางส่วนหรือโดยรอบแท่งกระดูกนั้นก็ได้ กระดูกของเด็ก ๆ มักหักสะบั้นได้ยาก เหมือนกิ่งไม้สด ๆ ส่วนมากหักแล้วยังเหลือเปลือกหรือเนื้อเสี้ยนเชื่อมต่อกันอยู่ส่วนหนึ่ง ทั้งนี้เพราะว่ามันยังมีสภาพเป็นสปริงยืดหยุ่นได้ดี แต่ในผู้ใหญ่นั้น กระดูกมักเปราะเหมือนกิ่งไม้แห้ง เวลาหักก็มักขาดสะบั้นออกเป็นสองชิ้นใหญ่ ๆ หรือหลาย ๆ ชิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ นักวิชาการจึงแบ่งประเภทของกระดูกหักออกเป็น 2 แบบใหญ่ ๆ ดังนี้คือ
1. กระดูกหักร้าวหรือหักไม่รอบ หรือหักไม่สมบูรณ์
2. กระดูกหักสะบั้นหรือหักโดยรอบหรือหักสมบูรณ์

กระดูกหักทำได้อย่างไร ?
คำถามนี้ดู ๆ ก็เชยดี แต่ถ้าไม่บอกก็อาจจะรู้ได้ไม่ถ้วนถี่ อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่จะกล่าวต่อไปนี้ มีองค์ประกอบที่สำคัญร่วมกันอย่างหนึ่งคือ “แรง” ซึ่งจะต้องมีมากระทำ กระดูกจึงจะหักได้ เช่น
1. แรงกระทำต่อกระดูกโดยตรง เช่น การใช้ของแข็งฟาด หรือทุบตี กระดูกมักจะมีรอยหักตามขวางหรือแตกเป็นหลายชิ้น
2. แรงกระทำต่อกระดูกโดยทางอ้อม เช่น การบิดหมุนขอบแกนกระดูก หรือกระดูกหักหลุดจากการหดเกร็งของเอ็นที่ยึดกับกระดูก รอยหักมักจะเฉียงหรือเป็นรูปเกลียวยาวหรือหลุดเป็นแว่น
3. แรงกระทำต่อกระดูกอย่างซ้ำ ๆ ซาก ๆ ในเวลาติดต่อกัน โดยที่ขนาดของแรงนั้น ถ้ากระทำเพียงครั้งเดียวจะไม่ถึงขั้นทำให้กระดูกหักได้ เช่น การเดินทางไกล หรือทหารใหม่ไปซ้อมรบ แล้วมีกระดูกฝ่าเท้าหัก
4. กระดูกหักเนื่องจากกระดูกเองมีโรคอยู่แล้ว เช่น เป็นเนื้องอก เป็นโรคกระดูกเปราะหรืออ่อนหรือผุ เป็นต้น พวกนี้ได้รับแรงมากระทำเล็กน้อย เพียงครั้งเดียวก็หักได้

กระดูกหักวินิจฉัยได้อย่างไร?
ถ้ามีใครสักคนหนึ่งมาหาเราโดยที่มีปลายกระดูกหัก ทิ่มออกนอกเนื้อให้เห็นหรือแบนขาส่วนที่ไม่ใช่ข้อต่อ แต่เกิดหักงอได้ แบบนี้ต่อให้เด็ก ๆ ก็วินิจฉัยได้ว่ากระดูกหักแน่ ๆ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ถ้าไม่พบอาการแสดงชัด ๆ แบบนี้
เราจะทราบได้อย่างไรว่ากระดูกมันหัก ขั้นตอนที่ควรปฏิบัติ มีดังต่อไปนี้
1) การซักประวัติ
ประวัติที่สำคัญคือ การได้รับบาดเจ็บชัดเจน ซึ่งเป็นสาเหตุจูงใจให้สงสัยว่า อาจทำให้กระดูกหักได้ตามสาเหตุที่กล่าวมาแล้วในข้อ 1 และ 2 แต่การบาดเจ็บที่ไม่สามารถจะสังเกตได้ชัดเจน ก็ย่อมทำให้กระดูกหักได้เช่นกัน ดังเหตุผลในข้อ 3 และ 4 นอกจากนี้ ประวัติที่สำคัญอีก 2 ประการได้แก่ การเจ็บปวดเฉพาะที่ ซึ่งจะเพิ่มความรุนแรงขึ้น ถ้ามีการเคลื่อนไหว และการสูญเสียหน้าที่ของอวัยวะ ที่ได้รับการบาดเจ็บนั้น ๆ ทั้งนี้ส่วนที่หักยังคงประกบกันเองได้มั่นคงดี อาการทั้ง 2 ประการนี้ ก็อาจไม่รุนแรงนัก ถ้าปลายกระดูกขยับได้ ผู้ป่วยมักบอกเราได้ว่า “ได้ยิน” เสียงกระดูกมันขัดสีกันดังกรอบแกรบตรงรอยหัก
2) การตรวจร่างกาย
สูตรที่ใช้กันในหมู่แพทย์คือ ดู คลำ เคาะ ฟัง เริ่มด้วยการดู ให้สังเกตว่าสีหน้าของผู้ป่วยนั้นแสดงว่ามีการเจ็บปวดจริง สำหรับตรงตำแหน่งที่หัก อาจพบมีอาการบวม มีรอยเลือดแทรกซึมอยู่ใต้ผิวหนัง มีรูปร่างผิดปกติ ให้เห็นได้ เช่น การบิดงอ หรือสั้นลงของแขนขา คลำดูที่ผิวหนัง ถ้าบวมมากจะตึงและอุ่นกว่าปกติ กดเบา ๆ จะมีอาการเจ็บตรงนั้นรุนแรง กล้ามเนื้อของกระดูกส่วนนั้นจะเกร็งตัวถ้ามีการขยับแม้เพียงแต่น้อย ถ้าคลำถูกรอยหักอาจมีปุ่มหรือเป็นขั้น ซึ่งเกิดจากกระดูกมันเกยเหลื่อมกัน การเคาะนั้นมีประโยชน์มาก เพราะบางครั้งเนื้อเยื่อฟกช้ำเฉย ๆ ถ้าเราไปคลำหรือบีบมันโดยตรง ก็อาจจะทำให้มีอาการเจ็บปวดรุนแรงได้ แต่ถ้าเราใช้วิธีเคาะบนตำแหน่งของกระดูกชิ้นที่สงสัยว่าจะหักตรงจุดที่ห่างจากบริเวณซึ่งกำลังสงสัยอยู่นั้น หากมีกระดูกหักจริง จะปวดมากตรงรอยหัก แต่ถ้าเป็นเพียงการฟกช้ำของเนื้อเยื่อ จะมีอาการเจ็บปวดไม่รุนแรงนัก สำหรับการฟังนั้น ไม่นิยมทำกัน เพราะไม่จำเป็นไปกว่าวิธีการอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ขอเสริมท้ายนิดหนึ่งว่า ควรตรวจร่างกายด้วยความนุ่มนวล อย่าทำให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำเติมโดยไม่จำเป็น
3) การดูจากภาพรังสี
วิธีนี้ต้องอาศัยประสบการณ์และทักษะในการดูเป็นพิเศษ ไม่อยากชักชวนให้งวยงงเล่นเปล่า ๆ ถ้าสงสัยขอแนะนำว่าปรึกษาผู้รู้โดยตรงจะสนุกกว่า

กระดูกหัก ต้องระวังอะไรอีก?
จะขอชี้ให้เห็นความจริงสองประการที่เกี่ยวกับกระดูก ก่อนที่จะให้คำตอบต่อคำถามช้างบนนี้คือ
ประการแรก
ไม่มีกระดูกชิ้นไหนในร่างกายที่ไม่ถูกห่อหุ้มโดยผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อนอื่น ๆ เช่น ไขมัน กล้ามเนื้อ เอ็น พังผืด ซึ่งอาจมีเส้นเลือดและเส้นประสาททอดผ่านไปด้วยได้
ประการหลัง
มีโครงกระดูกบางแห่งที่ทำหน้าที่ห่อหุ้มป้องกันอวัยวะที่ละเอียดอ่อนและจำเป็นอย่างยิ่งต่อชีวิต เช่น กะโหลกศีรษะและกระดูกสันหลัง ซึ่งหุ้มประสาทส่วนกลาง (สมองและไขสันหลัง) ซี่โครงซึ่งหุ้มหัวใจ ปอด เส้นเลือดใหญ่ และช่องท้องส่วนบน กระดูกเชิงกราน ซึ่งหุ้มกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย เป็นต้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ กระดูกหักจึงต้องตรวจดูสิ่งต่อไปนี้ด้วยว่าเกิดขึ้นร่วมกันหรือไม่
1) ปลายกระดูกที่หักมีทางติดต่อกับบาดแผลที่ผิวหนังหรือไม่ ถ้ามี ทางติดต่อนี้อาจช่วยให้เชื้อโรคจากสิ่งแวดล้อมภายนอกเข้าสู่โพรงกระดูกได้
2) คลำดูชีพจรของเส้นเลือดที่ทอดผ่านตำแหน่งที่กระดูกหัก เพื่อให้แน่ใจว่า เส้นเลือดเหล่านี้ไมได้ถูกทำลาย นอกจากนี้ยังดูสภาพการไหลเวียนของเลือดว่าดี เป็นปกติหรือไม่โดยสังเกตดูสีของ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เล็บ เปรียบเทียบกับข้างที่ไม่มีการบาดเจ็บ ลองกดแล้วปล่อยดู ถ้าส่วนที่ซีดจากการกดคืน แดงอย่างรวดเร็วแสดงว่าไม่มีการทำลายของเส้นเลือด
3) ตรวจดูสภาพการทำงานของประสาทที่สำคัญ คือความรู้สึกตัว แขนขาชาไหม (ลองใช้เข็มแทงดูเบา ๆ ) ขยับได้หรือเปล่า
4) การบาดเจ็บต่ออวัยวะภายในต่าง ๆ ที่ได้ยกตัวอย่างมาไปแล้วข้างต้น ซึ่งเราจะต้องทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียด จึงจะวินิจฉัยได้ครบถ้วน การบาดเจ็บเหล่านี้ มักเป็นเหตุให้เสียชีวิต ถ้าทำการรักษาช้าเกินไป เช่น หัวใจหรือปอดทะลุ ตับ ม้ามแตก กระเพาะปัสสาวะฉีก ลำไส้ขาด และช็อค เป็นลม หน้าซีด ตัวเย็น เหงื่อออก ชีพจรเต้นเร็วแต่เบา ความดันเลือดต่ำ เป็นต้น
เมื่อได้เข้าใจหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับกระดูกหักข้างต้นพอสมควรดังนี้แล้ว เราก็จะได้ลงมือรักษากันต่อไปในฉบับหน้า ตอกเสาเข็มให้แน่นก่อนสร้างตึก จึงจะมั่นคงแข็งแรงครับ
ก่อนจบฉบับนี้ ขอฝากสูตรของการรักษากระดูกหักไว้สักนิดว่า “กระดูกหักชิ้นหนึ่งให้คำนึงถึงทั้งตัว”

  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ invariety-helath.blogspot.com แหล่งรวมบทความของคนรักสุขภาพ

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตับแข็ง

ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน

โดยทั่วไปคำว่า “ตับแข็ง” เป็นชื่อโรคชนิดหนึ่งของตับ ซึ่งอาจจะมีสาเหตุหลายอย่าง เช่น เกิดจากเชื้อไวรัส เกิดจากสารซึ่งเป็นพิษต่อตับ ซึ่งรวมทั้งพิษจากสุรา ตับคนปกตินั้นจะมีน้ำหนักประมาณ 1,200 กรัม สีแดงคล้ำ ขอบและผิวเรียบ และเป็นทางผ่านของเลือดจากช่องท้องเข้าไปสู่หัวใจด้านขวา ในรายที่เป็นตับแข็ง ตับจะกลายเป็นเม็ดเล็ก ๆ ทั่วไป หมดบนผิวที่ขอบ และในเนื้อของตับเอง ถ้าคลำดูจะแข็งกว่าปกติมาก เนื่องด้วยแผลเป็นซึ่งมีอยู่ทั่วไปในตับ ทำให้ความดันในตับและเส้นเลือดที่ผ่านตับนั้นสูงกว่าปกติ
“สุรา” หรือแอลกอฮอล์ เมื่อมนุษย์ดื่มเข้าไป จะถูกเปลี่ยนแปลงและถูกทำลายพิษภายในตับ ให้ผลของการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เป็นสารหลายอย่างเป็นขั้น ๆ ไป จนในที่สุดเป็นอณูของน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์และความร้อน และถ้ากินในขนาดสูง ตัวแอลกอฮอล์เองจะมีพิษโดยตรงต่อเซลล์ของตับ ทำให้เซลล์ของตับนั้นตาย และมีการอักเสบเกิดขึ้นในตับ ตลอดจนมีไขมันเข้ามาแทรกในเซลล์ของตับ อาจจะกล่าวง่าย ๆ คือ พิษของแอลกอฮอล์ต่อตับในคนที่ดื่มสุราเรื้อรังเป็นเวลานานแรมปีนั้น อาจจะแบ่งได้เป็น 3 ระยะด้วยกัน
1. ถ้าดื่มสุราในขนาดสูง เช่น ประมาณครึ่งขวดกลมแม่โขงต่อวัน เป็นเวลาติดต่อกันนานกว่า 5 ปีขึ้นไป ในระยะแรกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในตับเป็นภาวะที่เรียกว่า มันจุกตับ ตับจะมีขนาดโตกว่าปกติ แพทย์อาจคลำพบโดยการตรวจหน้าท้อง ตับจะมีสีเหลืองปนแดง เนื่องจากมีมีของไขมันซึ่งมีอยู่มากในเซลล์ของตับ ผู้ป่วยในระยะนี้อาจจะไม่มีอาการอันใดเลย ถ้าไม่ดื่มเหล้าอีกต่อไป ภาวะนี้ก็จะหายไป ตับก็จะเป็นปกติเหมือนเดิม
2. ถ้าดื่มสุราต่อไปเรื่อย ๆ บางคนจะกลายเป็นตับอักเสบเพราะพิษสุรา ผู้ป่วยพวกนี้จะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้มกว่าปกติ เป็นสีเหลืองคล้ายน้ำปลา มีไข้ต่ำแทบทุกวัน มีอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักลด เบื่ออาหาร อาจเป็นนานเป็นแรมเดือนแรมปี บางรายอาจจะมีขาบวม คนไข้พวกนี้ถ้าไม่หยุดดื่มสุรา ต่อไปอาจเป็นโรคตับแข็งได้ แต่ถ้าผู้ป่วยหยุดดื่ม และได้รับการรักษาบำรุงด้วยยาต่าง ๆ แล้ว อาจกลับไปเป็นปกติและหายขาดจากโรคนี้ได้
3. ในกลุ่มผู้ป่วยซึ่งเป็นตับอักเสบจากพิษเหล้า และยังดื่มสุราอย่างมากเช่นนี้ต่อไป การอักเสบของตับก็จะมีต่อไปเรื่อย ๆ พิษของแอลกอฮอล์จะทำให้มีการตายของเซลล์ตับมากขึ้นทุก ๆ วัน เมื่อเซลล์ของตับตาย ต่อมาก็จะเกิดแผลเป็นขึ้น แผลเป็นมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ผลที่สุดตับก็จะขรุขระตะปุ่มตะป่ำด้วยแผลเป็น และกลายเป็นโรคตับแข็งในที่สุด
ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งจากพิษสุรา จะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ผอมลง มีอาการบวมที่เท้า ท้องโต เนื่องจากเกิดมีน้ำในช่องท้องหรือที่เรียกว่า มานน้ำ บางรายจะมีตัวเหลือง ตาเหลือง กล้ามเนื้อลีบลง มีการเสื่อมทางความรู้สึกทางเพศ บางรายจะมีนมตั้งเต้าเหมือนนมสตรีเพศ อวัยวะเพศเหี่ยว บางรายจะมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้น เช่น มีน้ำในช่องปอด เนื่องจากผู้ป่วยบวมมากบางรายจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายอุจจาระเป็นเลือดเนื่องจากมีการแตกของเส้นเลือดขอดที่เกิดขึ้นในหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร เนื่องจากเลือดจากช่องท้องไม่สามารถผ่านตับที่แข็ง และเต็มไปด้วยพังผืดได้ จึงมีเส้นเลือดไปโป่งพองขึ้นในกระเพาะและหลอดอาหาร เมื่อความดันในช่องท้องสูงขึ้นจึงมีการแตกของเส้นเลือดเหล่านี้ ทำให้ผู้ป่วยอาเจียนและถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งมีภาวะแทรกซ้อนที่น่ากลัวอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ผู้ป่วยบางรายจะมาหาแพทย์หรือมาโรงพยาบาลด้วยอาการอาเจียนเป็นเลือดเป็นกระโถน ๆ ทำให้ญาติพี่น้องตกใจ และเป็นห่วงบางรายเสียเลือดมากกว่าจะมาถึงโรงพยาบาลก็เสียชีวิตไปก่อนก็มี การรักษาภาวะแทรกซ้อนชนิดนี้ เป็นการรักษาอย่างรีบด่วนทันทีทันใด จะต้องให้เลือดแก่ผู้ป่วยเป็นจำนวนมากเท่าที่ผู้ป่วยเสียเลือดไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ อาการอาเจียนเป็นเลือดนี้น่ากลัวอันตรายมาก ในผู้ป่วยบางคน แพทย์ต้องทำการผ่าตัดด่วนเพื่อไปผูกเส้นเลือดขอดที่หลอดอาหารหรือกระเพาะอาหาร หรือทำการต่อเส้นเลือดให้เลือดไหลไปทางอื่น ไม่มาทางที่มีเส้นเลือดขอดอยู่ ซึ่งเป็นการผ่าตัดใหญ่ สิ้นเปลืองและต้องอาศัยทีมของศัลยแพทย์มือดีที่สามารถทำการผ่าตัดเช่นนี้ได้
ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีภาวะแทรกซ้อนที่มีน้ำในช่องท้องและท้องจะค่อย ๆ โตขึ้น ผู้ป่วยมักจะสังเกตว่าเท้าทั้งสองข้างบวมและพุงโตขึ้น ต้องตัดกางเกงใหม่บ่อย ๆ และบางรายก็มาหาแพทย์เมื่อท้องโตมากแล้ว การรักษาซึ่งเป็นการรักษาตามอาการส่วนมากแพทย์จะให้ยาขับปัสสาวะและงดเกลือหรืออาหารเค็ม การรักษากินเวลานาน และเป็นการรักษาแบบประคับประคอง มิได้เป็นการรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยบางรายก็มีน้ำในท้องอยู่เป็นแรมปี การรักษามีหลายวิธีการ รวมทั้งการให้สารแอลบูมินทางเส้นเลือดเป็นระยะ ๆ แต่ผลมักไม่เป็นที่พอใจของแพทย์ผู้รักษาและคนไข้ ทั้งนี้อาการบวมและมีน้ำในท้องมักเกิดขึ้นในระยะท้าย ๆ ของโรคตับแข็ง ซึ่งมีสาเหตุใหญ่เนื่องมาจากตับไม่สามารถจะสังเคราะห์สารโปรตีนในเลือดได้เพียงพอ ภาวะแทรกซ้อนอีกอย่างหนึ่งในโรคตับแข็งระยะหลังก็คือ อาการเหลืองหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ดีซ่าน ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากมีการทำลายของเซลล์ของตับมาก และมีแผลเป็นมาอุดกั้นทางเดินน้ำดีเล็ก ๆ ภายในเนื้อตับ ผู้ป่วยอาจจะเริ่มต้นด้วยมีคนทักว่าตัวเหลืองหรือตาเหลืองเหมือนเอาขมิ้นมาทาตัว บางรายอาจจะมีอาการคันตามตัว เนื่องจากมีน้ำดี และกรดน้ำดีคั่งตามผิวหนังรบกวนต่อประสาทฝอยที่อยู่ผิวหนัง อาการเหลืองและอาการคันนี้เป็นเรื่องทรมานผู้ป่วยในบางรายมาก อาการเหลืองจะค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นทีละน้อย จึงทำให้ผิวหนังผู้ป่วยมีสีคล้ำ ดำมากขึ้น อาการทั้ง 3 อย่างที่กล่าวมาแล้วคือ อาการอาเจียนเป็นเลือด มีน้ำในท้อง อาการตัวเหลือง ทางแพทย์ว่าเป็นอาการของภาวะตับวาย หรือ ตับหมดสภาพในการทำงาน เมื่อเป็นมากเข้า จะเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่าโคม่า คือผู้ป่วยจะค่อย ๆ มีอาการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและความรู้สึก จะมีอาการซึมหรือเพ้อเอะอะ บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงไป อาจจะทำสิ่งที่ไม่เคยทำ เช่น ปัสสาวะเรี่ยราด เซ็นชื่อด้วยตัวเองไม่ได้ มือสั่น หลงเลอะเลือน แปรงฟันหวีผมไม่ได้ต่อมาอาจไม่ทราบกาลเวลาและสถานที่ที่ตัวอยู่จะค่อย ๆ ซึมเข้า ๆ หมดสติไม่รู้ตัว เข้าสู่ระยะโคม่า และถึงแก่กรรมไปในที่สุด เมื่อมีระยะนี้แล้วการรักษาจะยากและอัตราตายสูง
ท่านผู้อ่านทุกท่าน คงจะทราบผลของเหล้าต่อตับเป็นอย่างไรในบทความนี้ คนดื่มเหล้าถ้าดื่มแต่เล็กน้อย บางครั้งบางคราวก็มีประโยชน์ในด้านสังคม และเป็นยาเจริญอาหาร ช่วยละลายไขมันอย่างหนึ่ง แต่ถ้าดื่มมากเป็นประจำ เนืองนิตย์ติดต่อกันก็จะเป็นผลร้ายแรงต่อร่างกาย ทำให้เกิดโรคตับแข็งและอื่น ๆ เพราะแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ร้ายแรงต่ออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายมากมาย จึงควรถือคำของพระพุทธองค์เป็นสรณะนั่นคือ มัชฌิมาปฏิปทา การดำเนินทางสายกลางย่อมไม่เกิดอันตรายต่อตัวเราเอง

  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ invariety-helath.blogspot.com แหล่งรวมบทความของคนรักสุขภาพ

Reviews Camcorders.

 

INVariety Copyright © 2009 Cookiez is Designed by Ipietoon for Free Blogger Template