วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บริโภคน้ำตาลให้เป็น (ประโยชน์)

ทานแต่พอดี ช่วยรักษาสมดุลร่างกายได้ด้วย

"อย่ากินน้ำตาลมากนะ เดี๋ยวอ้วน"

"กินของหวานมากเดี๋ยวก็เป็นโรคเบาหวานหรอก"

เสียงพร่ำเตือนที่คุ้นเคยที่ทำเอาเราชะงักทุกครั้งเวลาที่กำลังจะหยิบเอาน้ำตาลเติมในกาแฟชาหรือแม้แต่ขนมหวานๆ ที่จริงรสนิยมการชอบความหวานนั้นมันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล หากรับประทานอย่างพอดีน้ำตาลก็จะส่งผลดีต่อร่างกาย เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่หาง่ายและใกล้ชิดกับคนมากที่สุด

ดร.เนตรนภิส วัฒนสุชาตินักวิจัยสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า สังคมไทยในปัจจุบันถือเป็นสังคมแห่งการบริโภค ซึ่งมีผู้คนในสังคมจำนวนไม่น้อยที่ยังยึดติดกับค่านิยมในการบริโภคแบบผิดๆ อยู่ ส่งผลให้เกิดโรคร้ายตามมามากมาย เช่น โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น ซึ่งโรคร้ายเหล่านี้ปัจจุบันไม่ได้เป็นกันเฉพาะแต่วัยผู้ใหญ่แล้ว วัยเด็กก็มีโอกาสและความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคร้ายก็มากขึ้นด้วย

ดังนั้นทุกคนต้องสร้างนิสัยการกินใหม่ให้ถูกต้อง โดยต้องเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งถือเป็นวัยที่ต้องการสารอาหารที่มีคุณค่าในการเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง โดยที่ผ่านมาพบว่า เด็กไทยส่วนใหญ่ยังนิยมบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณที่สูงเกินความจำเป็น ซึ่งหากรู้จักบริหารความหวาน คือ การรับประทานน้ำตาล ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ก็จะเกิดประโยชน์กับร่างกาย

"การบริโภคอาหารที่ไม่สมดุลเกินปริมาณความต้องการของร่างกาย ย่อมส่งผลร้ายต่อสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะผู้บริโภคที่เป็นเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นวัยที่ต้องการสารอาหารที่มีคุณค่าเพื่อพัฒนาการเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง" ดร.เนตรนภิส กล่าว

นักวิจัยสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวต่อว่า น้ำตาลถือเป็นอาหารที่มีความจำเป็น และมีความต้องการในชีวิตประจำวันของคนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่ง่ายและใกล้ชิดกับคนมากที่สุด โดยจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติการบริโภคในครัวเรือนเฉลี่ยใน 7 วัน ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมการใช้จ่ายบริโภคน้ำตาลและความหวานเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นจาก 24.10 บาทในปี 2545 เป็น 26.50 บาท ในปี 2549

ขณะเดียวกันข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ระบุว่า การบริโภคน้ำตาลของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นเช่นกันโดยปี 2537 มีการบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยอยู่ที่ 23.2 กิโลกรัมต่อคนต่อปีขณะที่ปี 2548 มีการบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยอยู่ที่ 32.3 กิโลกรัมต่อคนต่อปีหรือโดยเฉลี่ยคนไทยจะบริโภคน้ำตาลวันละประมาณ 22 ช้อนชาหรือ 88 กรัม

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ระบุว่า ในแต่ละวันร่างกายควรได้รับน้ำตาลในปริมาณ 10% ของปริมาณพลังงานที่ใช้ในแต่ละวัน เช่น ควรได้รับพลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี่ ส่วนหนึ่งมาจากน้ำตาลที่เติมในอาหารร้อยละ 10 คือเท่ากับ 200 กิโลแคลอรี่หรือเทียบเท่ากับน้ำตาลทราย 50 กรัมประมาณ 10 ช้อนชาแต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนด้วย ซึ่งถ้าเป็นคนที่ออกกำลังกายมากๆ หรือใช้แรงงานมากๆในแต่ละวันและไม่เป็นโรคเบาหวานก็สามารถรับประทานน้ำตาลมากกว่าร้อยละ 10 ของพลังงานได้

จะเห็นได้ว่าน้ำตาลก็ใช่จะไร้ประโยชน์เสมอไป การบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่พอดีจะช่วยรักษาสมดุลให้แก่ร่างกายและไม่ก่อให้เกิดอันตรายอย่างที่เรากลัวกัน

ที่มา: หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไม่ใช่แค่กินอร่อย แต่ยังมีคุณค่าทางยาด้วย!

เผยอาหารดูดสารพิษ คุณค่าอาหารสูง

จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal ยืนยันว่า สาหร่าย สามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้

ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ สาหร่ายจะช่วย ดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก

ขณะที่การวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่าผลอโวคาโดมีสารกลูตาทโอน (Glutathione) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan) พบว่าผู้สูงอายุที่กินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

ส่วนอัลมอนด์เป็นถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน แต่ก็เป็นไขมันที่ดี และจำเป็นต่อร่างกายในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย (Hyperglycemia) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างที่เรียกว่า ไฮโปไกล ซีเมีย (Hypoglycemia) จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก

ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อาหารก่อมะเร็ง” ระวังก่อนเข้าปาก!!

ฉลาดเลือก-ฉลาดกิน คาถาป้องกันโรค

โรคมะเร็ง นับเป็นสาเหตุการเสียชีวิตในลำดับต้นๆ ของคนทั่วโลก สามารถเกิดขึ้นได้กับอวัยวะทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นสมอง ปอด ตับ กระดูก ลำไส้ เต้านม หรือกล่องเสียง ซึ่งยังไม่สามารถระบุถึงตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคได้อย่างชัดเจน แต่ก็มีข้อมูลแน่ชัดในเรื่องของอาหารการกินว่าสามารถทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ เนื่องมาจากพฤติกรรมการกินอาหาร เช่น กินอาหารที่ก่อมะเร็งหรือไม่ กินอาหารซ้ำซากหรือไม่ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หากผู้บริโภคได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง

อาหารก่อมะเร็ง คืออาหารที่กินแล้วทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ที่กล่าวถึงบ่อยๆ ว่าเป็นตัวการสำคัญให้เกิดโรคมะเร็งก็คืออาหารประเภทไขมัน ซึ่งมีข้อมูลการวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าการกินอาหารที่มีไขมันสูงมากๆ เป็นประจำทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้

โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก จึงไม่ควรกินอาหารที่มีไขมันสูงบ่อยๆ หรือเป็นประจำ นอกจากเสี่ยงต่อโรคมะเร็งแล้วยังทำให้อ้วนและเกิดโรคอื่นๆ เช่น ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด และในปัจจุบันยังมีรายงานการวิจัยระบุว่าการกินเนื้อสัตว์ที่มีสีแดงในปริมาณมากๆ เป็นประจำจะทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งมากกว่าการกินไขมันเสียอีก ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคมะเร็งด้วยสาเหตุข้างต้นจึงควรเดินทางสายกลางในการบริโภคอาหาร

อาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อรา โดยเฉพาะเชื้อราที่ชื่อ "แอสเปอจิลลัส เฟวัส" พบว่ามีอันตรายสูง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ เชื้อราชนิดนี้จะสร้างสารพิษอะฟล่าท็อกซินซึ่งทนทานต่อความร้อนสูงได้มากถึง 260 องศาเซลเซียส ดังนั้นความร้อนในอุณหภูมิที่เราใช้หุงต้มคือจุดเดือด 100 องศาเซลเซียสจึงไม่สามารถทำลายสารพิษชนิดนี้ได้

สารพิษอะฟล่าท็อกซิน พบได้ในถั่วลิสง พริกแห้ง หอม กระเทียม เป็นต้น การเลือกซื้อหรือเลือกบริโภคอาหารดังกล่าวจึงต้องมั่นใจว่าอาหารนั้นๆ แห้งสนิท ไม่มีเชื้อรา ถั่วลิสงป่นหรือพริกแห้งป่นที่ป่นทิ้งไว้และเก็บรักษาไม่ดี ไม่แห้งสนิท และไม่มีฝาปิดมิดชิด มักพบว่ามีสารพิษชนิดนี้ปะปนอยู่

โดยมีงานวิจัยของสถาบันวิจัยโภชนาการได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับสารพิษอะฟล่าท็อกซินในถั่วลิสงป่นในก๋วยเตี๋ยวต้มยำ พบว่าในก๋วยเตี๋ยวต้มยำ 100 ชามมีสารพิษอะฟล่าท็อกซินเจือปนอยู่ถึง 92 ชาม ซึ่งนับว่าอันตรายมาก ฉะนั้นเมื่อกินก๋วยเตี๋ยวหากไม่มั่นใจว่าเป็นถั่วที่คั่วใหม่ๆ ก็ไม่ควรกิน แต่ถ้าเป็นคนที่นิยมกินถั่วลิสงควรเลือกซื้อถั่วเมล็ดที่สมบูรณ์และแห้ง นำมาคั่วและป่นกินเองจะปลอดภัยกว่าถั่วป่นในชุดเครื่องปรุงตามร้านก๋วยเตี๋ยว และเมื่อไม่นานมานี้ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการสำรวจน้ำผัก น้ำผลไม้ และชาเขียว ก็พบว่าในน้ำองุ่นมีสารพิษจากเชื้อราเจือปนอยู่ด้วย

ยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหาร แล้วคนกินทุกวันๆ ร่างกายขับทิ้งไม่ทันก็เกิดการสะสม จนในที่สุดทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้ และในปัจจุบันการเพาะปลูกมีการใช้ยาฆ่าแมลงมาก โดยพบว่าในคะน้า พริกสด กวางตุ้ง กะหล่ำปลี ล้วนมียาฆ่าแมลงตกค้าง ดังนั้นเมื่อซื้อมาปรุงอาหารจึงควรล้างให้สะอาด

ทั้งยังมีข่าวน่าตกใจที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ก็คือมีพ่อค้าขายปลาหมึกแห้งใช้ยาฆ่าแมลงฉีดพ่นปลาหมึกแห้งเพื่อป้องกันแมลงวันมาตอม ซึ่งการกระทำดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อผู้บริโภคและผิดกฎหมายด้วย สิ่งเหล่านี้เราต้องพยายามหลีกเลี่ยง โดยเลือกซื้ออาหารจากร้านที่เรามั่นใจว่ามีความสะอาดและมีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค สำหรับผักและผลไม้ต้องล้างจนมั่นใจว่าสะอาดจริงๆ

อาหารที่ปนเปื้อนสารเจือปนในอาหาร หรือสารที่ไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร ล้วนเป็นสารก่อมะเร็งได้ ซึ่งสารเจือปนที่อนุญาตให้ใส่ในอาหารได้ ได้แก่ ดินประสิว (ไนเตรท, ไนไตรท์) สีผสมอาหาร เป็นต้น แต่ก็ไม่อนุญาตให้ใส่มากเกินไป โดยไนเตรทและไนไตรท์เป็นสารกันบูดที่กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใส่ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ในอัตราส่วนเนื้อสัตว์ 1 กิโลกรัมต่อไนเตรทไม่เกิน 500 มิลลิกรัม ส่วนไนไตรท์ใส่ได้ไม่เกิน 125 มิลลิกรัม แต่สารเจือปนนี้ให้คุณสมบัติทางอ้อม คือ เนื้อที่ใส่ไนเตรทหรือไนไตรท์จะมีสีแดงน่ากินมากขึ้น จึงนิยมใส่สารนี้กันโดยเข้าใจว่าจะทำให้เนื้อมีสีแดงเพิ่มมากขึ้นซึ่งไม่เป็นความจริง อาหารที่มักใส่ดินประสิว ได้แก่ ไส้กรอก แหนม เนื้อสวรรค์ กุนเชียง เป็นต้น

สาเหตุที่ดินประสิวทำให้เกิดสารก่อมะเร็งได้ เพราะในเนื้อสัตว์จะมีสารเอมีน และเมื่อเติมดินประสิวลงไปจะทำปฏิกิริยาให้เกิดสารไนโตรซามีนขึ้น ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ไนโตรซามีนยังเกิดขึ้นได้ภายในกระเพาะอาหารของคนเราเมื่อกินอาหารที่มีไนเตรทตามธรรมชาติ เช่น ผัก และกินร่วมกับเนื้อสัตว์

สีผสมอาหาร ก็ไม่แนะนำให้ใช้มากเกินความจำเป็นหรือกินอาหารที่ใส่สีมากเกินไป ควรใช้สีที่ได้จากธรรมชาติจะปลอดภัย ทั้งยังได้กลิ่นหอมจากพืชหรือสมุนไพรที่เรานำมาเป็นวัตถุดิบในการให้สีเพิ่มขึ้นด้วย และถ้าผู้ผลิตขาดความรับผิดชอบ ใช้สีย้อมผ้าซึ่งให้สีเข้มและราคาถูกก็จะยิ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เพราะทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหารได้

สำหรับสารเจือปนอื่นๆ ซึ่งไม่อนุญาตให้ใส่ในอาหาร แต่ก็มีการแอบใส่หรือแอบใช้กัน เช่น บอแรกซ์หรือผงกรอบ พบได้ในอาหารประเภทลูกชิ้นที่เด้งผิดปกติ ของทอดที่กรอบนานผิดปกติ, สารฟอกขาว พบในขิง ข่าซอย ถั่วงอก เป็นต้น สารเหล่านี้หากกินในปริมาณที่น้อยแต่บ่อยๆ ก็ทำให้เกิดการสะสม ส่งผลให้เสี่ยงต่อมะเร็งได้เช่นกัน

อาหารประเภทปิ้ง ย่าง รมควัน เป็นอีกตัวการสำคัญที่ก่อมะเร็งได้หลายชนิด อาหารปิ้ง - ย่างประเภทที่มีไขมัน เช่น หมูปิ้งหมูย่าง ไก่ปิ้ง เนื้อย่าง เวลาปิ้งหรือย่างจะมีไขมันตกลงไปในถ่านที่กำลังแดง ทำให้เกิดการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดสารพิษที่เรียกว่าสาร PAH หรือโพลีไซคลิก อะโรเมติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon) ทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอด เต้านม และกระเพาะอาหาร เวลากินอาหารเหล่านี้จึงควรตัดส่วนที่ไหม้เกรียมออกให้หมด และไม่ควรกินซ้ำๆ ซากๆ ติดกันทุกวัน

การกินอาหารดิบๆ สุกๆ ก็มีความไม่ปลอดภัย เพราะเสี่ยงต่อการได้รับพยาธิใบไม้ในตับ ซึ่งพบมากในปลาน้ำจืดประเภทปลาเกล็ดขาว ปลาตะเพียน พยาธิชนิดนี้จะเข้าสู่ร่างกายได้เมื่อเรากินปลาที่มีพยาธิและปรุงไม่สุก พยาธิจะทำให้ท่อน้ำดีและขั้วตับเกิดการอักเสบ ส่งผลให้เป็นมะเร็งที่ท่อน้ำดีในตับได้ นอกจากนี้ยังมีพยาธิใบไม้ชนิดอื่นๆ ที่ทำให้เกิดมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ ซึ่งวิธีป้องกันคือกินอาหารที่ปรุงสุกทุกครั้ง

นอกจากนี้การกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์มากเกินไปก็ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้ คือความเสี่ยงของมะเร็งจะเพิ่มขึ้นเมื่อกินเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเนื้อที่มีสีแดง ดังนั้นนักโภชนาการจึงแนะนำให้กินเนื้อสัตว์ที่มีสีขาว ซึ่งได้แก่เนื้อปลา มากกว่าเนื้อหมูหรือเนื้อวัว

เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ และบุหรี่ ก็เป็นตัวการส่งเสริมให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งได้แก่ มะเร็งตับ และมะเร็งปอด ดังนั้นหากหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการดื่มหรือการสูบลงก็จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้

เห็นได้ว่าอาหารที่เรากินประจำก็เป็นอาหารก่อมะเร็งได้โดยที่เราคิดไม่ถึง แต่คุณผู้อ่านไม่ควรกังวล เพราะอาหารบางอย่างเราสามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรืออาหารสุกๆ ดิบๆ แต่บางอย่างที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็คงต้องมีวิธีปฏิบัติเพื่อไม่ให้อาหารเหล่านั้นอยู่ในร่างกายเรานานเกินไปจนเกิดอันตรายได้ นั่นคือจะต้องกินผักและผลไม้ให้มากเพื่อให้ขับถ่ายเป็นประจำ

ผลไม้ที่เลือกกินควรเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยสูง รสไม่หวานมากเกินไป ซึ่งเส้นใยในผักและผลไม้จะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำหน้าที่เหมือนไม้กวาด คอยปัดกวาดลำไส้ไม่ให้สารพิษทำอันตรายต่อร่างกายได้ นอกจากนี้ในผักและผลไม้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ที่ช่วยป้องกันมะเร็งหลายชนิด

ต่อมาคือการเลือกกินอาหารที่มีความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด ไม่กินอาหารที่มีการดัดแปลงหรือใช้สารเคมี หากคุณเป็นคนที่อ่านฉลากทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้ออาหาร จะเห็นว่าผลิตภัณฑ์อาหารอย่างเดียวกัน แต่ยี่ห้อต่างกัน เช่น น้ำปลา จะมีหลากหลายยี่ห้อ เมื่ออ่านฉลากจะพบว่าบางยี่ห้อไม่ใส่สารกันบูด บางยี่ห้อก็ไม่ใส่ผงชูรส เราจึงควรเลือกยี่ห้อที่ไม่ใส่สารกันบูดหรือไม่ใส่ผงชูรสจะดีกว่า

สิ่งที่สำคัญในการหลีกเลี่ยงมะเร็ง คือการดูแลร่างกายให้แข็งแรง จะทำให้เรามีภูมิต้านทานดี โรคภัยต่างๆ ก็มากล้ำกรายยาก และก่อนที่กระทรวงสาธารณสุขจะระบุว่าสารเคมีบางอย่างสามารถใส่ในอาหารได้ในปริมาณหนึ่งๆ ซึ่งปลอดภัยต่อผู้บริโภค ก็ต้องมีการทดลองในสัตว์ทดลองจนมั่นใจว่าปลอดภัยแล้วจึงนำมาใช้กับคน โดยนักวิจัยจะทำการวิจัยในสัตว์ที่แข็งแรงเท่านั้น แต่โดยปกติเรากินอาหารในทุกสภาพของร่างกาย ถ้าเรากินในช่วงที่เจ็บป่วย ปริมาณที่กำหนดว่าปลอดภัยจึงอาจไม่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เป็นได้ ดังนั้นถ้าหลีกเลี่ยงได้จึงเป็นสิ่งดีและปลอดภัยที่สุด

การที่ร่างกายจะแข็งแรงได้ก็ต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่กินอาหารซ้ำซาก ไม่กินอาหารรสจัด และต้องหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ ก็เป็นคาถาที่น่าจะป้องกันมะเร็งได้ผล

ที่มา: ไอ.เอ็น.เอ็น.

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

ทำไมลำไยมา “ตาแดง” ต้องแผลงฤทธิ์?

แนะล้างสารเคมีตกค้างก่อนรับประทานช่วยได้

เกิดเป็นคนไทยนี้แสนโชคดี โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ผลไม้หลากหลาย ฝรั่งต่างชาติยังต้องยกนิ้วให้มานักต่อนักแล้ว นี่หน้าลิ้นจี่เพิ่งจะหมดไปไม่ทันเท่าไหร่ ก็เห็น “ลำไย” ลูกโตๆ ทยอยออกมาวางเรียงรายขายยึดแผงเต็มตลาดไปหมดอีกแล้ว

แต่เพราะด้วยความหวาน กรอบ ยั่วยวนของ “ลำไย” ที่ไม่มีใครยอมปฏิเสธนี่ละสิ ซ้อนด้วยปัญหาที่ฝังเป็นความเชื่อมาตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่ยังเป็นเด็กๆ ด้วยซ้ำ หลายคนคงเคยได้ยินบ่อยๆ เวลาป้อนลำไยเข้าปากลูกก็มักจะมีเสียงลอยตามมาว่า “อย่าให้ทานเยอะนะ เดี๋ยวลูกร้อนใน ตาแฉะ ขี้ตาเยอะ” ทำไมหนา...พอลำไยมาตาแดงตาแฉะต้องแผลงฤทธิ์ทุกที ถ้าใครๆ ก็ต่างคิดแบบนี้ แล้วใครจะช่วยอุดหนุนลำไยปีนี้อีกล่ะ

จากหลากหลายความเชื่อมากมายตั้งแต่การรับประทานลำไยแล้วร้อนใน ขี้ตาเยอะ ทำตาแฉะ แท้จริงตาแฉะในเด็กมีโอกาสเกิดได้ตลอดเวลานะคะ สาเหตุตาแฉะแท้จริงแล้วเกิดจากการที่ตาได้รับเชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่ตามพื้น สนามหญ้า หรือแม้แต่ของเล่นที่เด็กๆ สัมผัสอยู่เป็นประจำ ซึ่งโดยปกติแล้วเจ้าเชื้อที่ว่าก็คงไม่มีความสามารถกระโดดขึ้นมาหาตาของเด็กเอง ถ้าไม่ใช่ตัวเด็กเองใช้มือน้อยๆ ที่เคยไปสัมผัสเชื้อเข้ามาขยี้ตาโดยไม่ได้ทำความสะอาดหรือล้างมือ

พอเมื่อตาได้รับเชื้อเข้า ก็จะทำให้เยื่อบุตาอักเสบเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีแดง มีขี้ตาน้ำตาไหล ที่เราเรียกว่าเด็กตาแฉะ ซึ่งการดูแลรักษาโดยทั่วไปแพทย์จะให้ใช้ยาปฏิชีวนะหยอดหรือป้ายตา ร่วมกับการพักสายตาโดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์จะหาย ไม่ควรขยี้ตาเพราะอาจทำให้กระจกตาดำเป็นแผลและตาบอดได้ ไม่ควรปิดตาเพราะทำให้เชื้อโรคสะสมในตา

ส่วนอีกความเชื่อที่บอกกันว่าการเอาน้ำนมแม่หยอดตาหรือใช้น้ำยาล้างตารักษา ก็ไม่ใช่การรักษาที่ถูกต้อง ยิ่งถ้าเจอใครตาแฉะตาแดงต้องรีบแลบลิ้นใส่ จะได้ไม่ติดตาแดง ก็ไม่มีมูลความจริง เพราะโรคนี้สามารถแพร่เชื้อได้โดยการสัมผัสหรือไปคลุกคลีกับผู้ป่วยเท่านั้นนะคะ การป้องกันทำได้ง่ายๆ คุณพ่อคุณแม่สอนเด็กๆ ให้งดการใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น ทุกครั้งที่จับตาควรล้างมือให้สะอาด ในช่วงที่เป็นตาแดงควรงดการลงเล่นน้ำในสระ เพราะจะแพร่กระจายเชื้อลงในน้ำได้

รวมถึงหน้าลำไยมาถึงแล้ว หมอจึงถือโอกาสนี้ฝากผ่านไปยังคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองว่า ในครั้งต่อไปถ้าจะให้เด็กๆ ได้รับประทานลำไยได้อย่างสบายใจ ไม่หวั่นหรือหวาดกลัวว่าลำไยจะทำลูกร้อนในแล้วตาแฉะ ก็เพียงแต่ให้นำลำไยที่เพิ่งซื้อมาจากตลาดไปล้างทำความสะอาดเศษดิน เศษสกปรกที่อาจมีเชื้อโรคปนเปื้อน หรือสารเคมีตกค้างติดมาให้สะอาดก่อนรับประทาน รับประทานลำไยครั้งหน้าจะได้สบายใจไม่ร้อนในจนตาแฉะ แล้วยังถือว่าเป็นการช่วยเกษตรกร ช่วยชาติไทย ในการช่วยบริโภคผลไม้ไทยได้ดีอีกด้วยค่ะ

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เหงือกปลาหมอ" แก้ปอดอักเสบ

ตำรายาโบราณ บรรเทาสารพัดโรค

ใครที่ไปพบแพทย์แล้วเอกซเรย์ทราบว่า ปอดเริ่มมีปัญหาเป็นฝ้า นอกจากให้แพทย์รักษาแล้ว ในยุคสมัยก่อนสมุนไพรเป็นทางเลือกรักษาได้เช่นกัน โดยให้เอาต้น "เหงือกปลาหมอ" ทั้ง 5 รวมราก กับ ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ จำนวนเท่ากัน กะตามต้องการ ต้มกับน้ำจนเดือดดื่มขณะอุ่นครั้งละ 1 แก้ว 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น ต้มดื่มจะอาการดีขึ้น ไปให้แพทย์เอกซเรย์ปอดไม่เป็นฝ้าอีกหยุดต้มกินได้เลย และต้องระวังอย่าให้เป็นอีก

เหงือกปลาหมอ มีสรรพคุณเฉพาะคือ ทั้งต้นรวมรากต้มอาบแก้พิษไข้หัว แก้โรคผิวหนังทุกชนิด ทั้งต้นสดตำพอกปิดหัวฝีแผลเรื้อรังถอนพิษ ต้มกินแก้พิษฝีดาษ ฝีทั้งปวง ผลกินเป็นยาขับโลหิตระดู นอกจากนั้น ถ้าตาเจ็บ ตาแดง เอา "เหงือกปลาหมอ" ทั้งต้นตำกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาหาย เป็นเหน็บชา ชาทั้งตัว ทั้งต้นนำทาบริเวณที่เป็นจะดีขึ้น ถูกงูกัด ตำเอาน้ำกินกากพอกหาย เป็นฝีฟกบวม เอาต้นกับขมิ้นอ้อยตำทา เป็นริดสีดวงทวาร เอาต้นกับขมิ้นอ้อยตำละลายกับน้ำทา เป็นไข้จับสั่นตำกับขิงกิน โรคเรื้อน คุดทะราด ทั้งต้นตำเอาน้ำกิน และใบส้มป่อยต้มดาบ

เจ็บหลัง เจ็บเอว เอาต้น "เหงือกปลาหมอ" กับชะเอมเทศทำผงละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นก้อนกิน ริดสีดวงแห้งในท้อง ซูบผอมเหลืองทั้งตัว ทั้งต้นตำเป็นผงกินทุกวัน เป็นริดสีดวง มือตายตีนตาย ร้อนทั้งตัว เวียนหัว ตามัว เจ็บระบมทั้งตัว ตัวแห้ง เอา "เหงือกปลาหมอ" กับเปลือกมะรุมเท่ากันใส่หม้อ เกลือนิดหน่อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ ใช้ฟืน 30 ดุ้น ต้มกับน้ำจนเดือดให้งวดจึงยกลง กลั้นใจกินขณะอุ่นจนหมดจะหายได้

ถ้าต้องการให้มีอายุยืน เอา "เหงือกปลาหมอ" 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้งปั้นกินทุกวัน กินได้ 1 เดือน ไม่มีโรค ปัญญาดี กินได้ 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึงกินได้ 3 เดือน โรคริดสีดวงทุกจำพวกหาย 4 เดือน แก้ลม 12 จำพวก หูไว กินได้ 5 เดือน หมดโรค 6 เดือน เดินไม่รู้จักเหนื่อย 7 เดือน ผิวงาม 8 เดือน เสียงเพราะ 9 เดือน หนังเหนียว ถ้าผิวแตกทั้งตัว เอา "เหงือกปลาหมอ" 1 ส่วน ดีปลี 1 ส่วน ทำผงชงกินกับน้ำร้อนหายได้ ทั้งหมดที่บอกเป็นตำรายาโบราณ ไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ รู้ไว้เป็นวิชา

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทานแป้ง...แบบไม่อ้วน

เลือกบริโภคให้ถูกชนิดในปริมาณที่เหมาะสม

การลดน้ำหนักที่ถูกที่สุดและปลอดภัยที่สุด คือการทานอาหารครบทุกมื้อ ครบทุกหมู่ในปริมาณที่พอเหมาะ ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสมดุล ไม่ใช่การหยุดทานแป้ง หรือขยาดแป้งชนิดปฏิเสธเสียงแข็ง ชาตินี้จะไม่ทานแป้งอีกเลย เพราะถ้าทำเช่นนั้นโรคขาดสารอาหารจะจ่อคิวรอแม้ว่าน้ำหนักจะลดได้จริง

การที่คุณไม่ทานแป้งเลย แล้วทานอาหารน้อยเกินไปจะส่งผลเสียเสมือนคอมพิวเตอร์เข้าสู่ Save Mode พอน้ำหนักลดลงได้ก็หนีไม่พ้นอาการโหย โหยหาแป้ง น้ำตาลและขนมหวาน ทำให้กลับมาอ้วนได้อีกอย่างง่ายดายและรวดเร็วแบบตั้งรับแทบไม่ทัน

ดังนั้นถ้ากลัวอ้วนก็ต้องระมัดระวังอย่าตามใจปาก และควรเลือกทานแป้งและน้ำตาลที่มีดัชนีไกล ซีมิกต่ำ ดัชนีนี้ เป็นตัววัดว่าอาหารพวกแป้งและน้ำตาลนี้จะมีผลต่อระดับของกลูโคสในเลือดอย่างไร หากมีค่าไกลซีมิกสูงเท่าไร ระดับกลูโคสในเลือดก็เพิ่มขึ้นเร็วเท่านั้น

โดยปกติกลูโคสจะถือว่ามีค่าไกลซีมิกอยู่ที่ 100 ส่วนแป้งและน้ำตาลอื่นๆ ก็มีค่าน้อยลงลดหลั่นลงมา หากอาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำกว่า 55 ถือว่ามีค่าไกลซีมิกต่ำ ส่วนระดับ 55 - 70 จัดว่ามีค่าอยู่ในขั้นปานกลาง และระดับที่สูงกว่า 70 จัดอยู่ในขั้นสูง ดังนั้น หากไม่อยากให้เกิดระดับกลูโคสในเลือดสูงเกินไป ก็ให้เลือกทานแป้งและน้ำตาลที่มีค่าไกลซีมิกต่ำไว้ก่อน

อาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำๆ เช่น พวกแป้งและน้ำตาลที่อยู่ในถั่วโดยส่วนใหญ่น้ำตาลในผลไม้ ข้าวซ้อมมือ พาสต้า หรือสปาเก็ตตี้

ส่วนอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือพวกที่มีค่าไกลซีมิกสูงเช่น ขนมปัง (แม้แต่โฮลวีทที่มีวิตามินเยอะ) วัฟเฟิล แครกเกอร์ ข้าวขัดขาว มันฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่งทอดหรืออบ

กรณีศึกษาที่เห็นได้ชัดคือคนชาวพื้นเมืองของอเมริกัน ที่แต่เดิมทานพวกหัวเผือกหัวมัน ถั่ว ข้าวโพด อาหารที่มีเส้นใย ผลไม้ ซึ่งมีค่าไกลซีมิกต่ำ แต่เมื่อเปลี่ยนมาทานอาหารแบบคนเมือง คืออาหารจานด่วน น้ำอัดลม ขนมอบต่างๆ ปรากฎว่ากลายเป็นคนอ้วนไปตามๆ กัน พร้อมทั้งมีปัญหาโรคเบาหวานมากขึ้น ดังนั้น ไม่ถึงกับต้องงดหรือลดการทานแป้งและน้ำตาลเสียเลย แต่ให้เลือกพวกที่มีค่าไกลซีมิกต่ำ เป็นหลัก

ร่างกายต้องการพลังงงานเพื่อนำมาเผาผลาญเพื่อใช้ระหว่างกันอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องทานแป้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอาหารมื้อเช้า และแม้ว่าต้องการลดความอ้วน ร่างกายควรได้รับแป้งประมาณ 60 - 80 กรัมต่อวัน ในขณะที่คนที่ไม่ต้องการลดน้ำหนักสามารถทานแป้งได้ถึง 300 กรัมต่อวัน

นอกจากนี้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที จะช่วยให้ร่างกายดึงพลังงานสะสมที่อยู่ในรูปไขมันออกมาใช้ เพราะการออกกำลังกายจะไปกระตุ้นตับอ่อนให้ผลิตฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งคือ กลูคากอน มีหน้าที่ในการรักษาระดับของกลูโคสในเลือดไม่ให้ต่ำเกินไป โดยการสลายไกลโครเจนที่สะสมไว้เป็นกลูโคส รวมไปถึงการเอาไขมันที่สะสมมาใช้ด้วย

ไม่ต้องกลัวอ้วนอีกต่อไป แถมยังไม่ขาดสารอาหาร แค่เลือกทานแป้งให้ถูกชนิดในสัดส่วนและปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายเพราะนอกจากรูปร่างที่ดีแล้ว สุขภาพที่ดีย่อมเป็นที่ปรารถนาของทุกคน

ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

"สะเดา" ประโยชน์จากความขม

ช่วยเจริญอาหาร-แก้ไข้ แถมถ่ายคล่อง

โบราณเขาว่า "หวานเป็นลมขมเป็นยา" ของขมๆ แม้จะไม่อร่อยแต่ก็มีประโยชน์ไม่น้อย อย่างเช่น "สะเดา" ผักสมุนไพรที่แม้จะมีรสขมขนาดไหน แต่ก็ยังเป็นของโปรดของหลายๆ คน โดยเฉพาะเมนูสะเดาน้ำปลาหวานกินกับปลาดุกย่าง หรือกุ้งเผา ที่เมื่อกินพร้อมกันแล้วจะลดความขมของสะเดาลงเหลือแต่ความอร่อย หรือบางบ้านอาจนำสะเดาไปลวกเพื่อลดความขมจิ้มกินกับน้ำพริกอีกด้วย

เรานิยมนำดอกและยอดของสะเดามาประกอบอาหาร ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน

ส่วนสรรพคุณด้านยาสมุนไพรนั้น สะเดามีสรรพคุณบำรุงธาตุไฟ สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย และแก้ไข้ อีกทั้งรสขมของสะเดายังช่วยเรียกน้ำย่อย และช่วยให้ขับน้ำดีตกลงสู่ลำไส้มากขึ้น ทำให้ร่างกายเกิดความอยากอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้อุจจาระละเอียดขับถ่ายคล่อง และช่วยให้นอนหลับสบายอีกด้วย

สะเดายังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น เป็นสารธรรมชาติที่ใช้กำจัดแมลงศัตรูพืชอย่างได้ผล และคนโบราณยังเชื่อว่าสะเดาเป็นไม้มงคล นิยมปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยเชื่อกันว่าจะป้องกันโรคร้ายต่างๆ และภูติผีปีศาจได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

งดหมูแฮมไส้กรอกเป็นอาหารกลางวันเด็ก

กลัวมะเร็งลำไส้ตอนโต

องค์การส่งเสริมสุขภาพอนามัยของอังกฤษ แนะนำกับผู้ปกครองละเว้นการให้เด็กรับประทานเนื้อสัตว์แปรรูป เพื่อหลีกเลี่ยงการเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งเมื่อตอนโตเป็นผู้ใหญ่...

กองทุนวิจัยโรคมะเร็งโลกแจ้งว่า พบหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ว่า การบริโภคเนื้อสัตว์ สำเร็จรูปชนิดต่างๆ จะเป็นเหตุให้เสี่ยงกับการเป็นมะเร็งลำไส้มากขึ้น

พร้อมกันนั้นทางองค์การส่งเสริมสุขภาพอนามัยของอังกฤษได้แนะนำกับผู้ปกครองทั้งหลายให้เลิกการเอาหมูแฮมและเนื้อสัตว์สำเร็จรูปอื่นๆ แบบขนมปังหุ้มไส้กรอก เบคอน และไส้กรอกหมูปนเนื้อวัว ใส่กล่องอาหารกลางวัน ให้ลูกเอาไปกินที่โรงเรียน หลีกเลี่ยงการเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งเมื่อตอนโตเป็นผู้ใหญ่ ไว้เสียแต่เนิ่นๆ โดยข้ออ้างว่า แม้จะยังไม่มีผลการวิจัย

ถึงการกินเนื้อสัตว์ของเด็กโดยเฉพาะ แต่หลักฐานที่พบในผู้ใหญ่ก็หนักแน่นพอเกินกว่าจะไม่ใส่ใจเสียเลยได้ จึงควรจะฝึกให้เด็กกินอาหารที่ถูกอนามัย ละเว้นอาหารเนื้อสัตว์แปรรูปต่างๆเสียตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เป็นต้นไป

ในช่วงระยะไม่กี่ปีมานี้ ความสัมพันธ์ของอาหารเนื้อสัตว์สำเร็จรูปกับการเป็นมะเร็งลำไส้ในผู้ใหญ่เพิ่งจะถูกกล่าวขวัญถึงกัน และมีบางคนได้กล่าวคาดเป็นเชิงว่าจะสามารถป้องกันคนได้เป็นเรือนพัน หากให้จำกัดการบริโภคเพียงอาทิตย์ละไม่เกิน 70 กรัม หรือเทียบเท่ากับเบคอนหั่นชิ้นบางๆ ยาวๆ 3 ชิ้น.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เมนูสุขภาพ “น้ำพริกเผารำข้าวสกัด”

อุดมโปรตีน วิตามิน และเส้นใยอาหาร

ข้าว ถือว่าเป็นอาหารหลักของคนไทยซึ่งมีประโยชน์มากมาย โดยทุกส่วนของต้นข้าวสามารถนำมาเป็นอาหารได้ เช่น รำข้าว ซึ่งในอดีตเป็นอาหารสุกร หากรู้จักเอามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับมนุษย์...ก็สามารถสร้างเมนูสุขภาพได้อีกหลากหลายเมนูเลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้ สามสาวจากรั้วมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ประกอบด้วย น.ส.กีรติ จารุธรรมากร น.ส.ศิรินทรา มาลีบุตร และ น.ส.อรพรรณ โกมลมาลย์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ ได้คิดเมนู "น้ำพริกเผารำข้าวสกัด" โดยมี ผศ.สิวลี ไทยถาวร และ ผศ.อุจิตชญา จิตรวิมล อาจารย์คอยให้คำปรึกษา

ผศ.อุจิตชญา จิตรวิมล บอกว่า "น้ำพริกเผารำข้าวสกัด" เป็นการแปรรูปที่มีคุณค่าทางอาหาร ผู้ชอบรับประทานน้ำพริกเผาและรักสุขภาพ เพราะน้ำพริกมีส่วนผสมของรำข้าวสกัด คือ เยื่อสีน้ำตาลอ่อนที่ห่อหุ้มเมล็ดข้าว ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วย โปรตีน, วิตามิน และ เส้นใยอาหาร

โดยน้ำมันที่ใช้ในการผัดจะมี สารโอรีซานอล (Oryzanol) เป็นสารธรรมชาติที่สามารถต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่า และมีประสิทธิภาพเหนือกว่า วิตามิน E ทุกชนิด ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็ง และหลอดเลือดหัวใจตีบตัน สามารถขจัดคอเลสเทอรอลที่ไม่ดี (LDL) ออกไปจากเซลล์และเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ที่มีผลทำให้น้ำหนักของร่างกายลดลง

สำหรับส่วนผสมของ น้ำพริกเผารำข้าวสกัด ประกอบด้วย

รำข้าวสกัด 3 ช้อนโต๊ะ

พริกชี้ฟ้าแห้ง 2 ถ้วย

หอมแดง 1 ถ้วยครึ่ง

กระเทียม 1 ถ้วย

กุ้งแห้งป่น 1 ถ้วย

กะปิ 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลปี๊บ 2 ถ้วย

น้ำมะขามเปียก 3/4 ถ้วย

น้ำปลา 1 ถ้วย

น้ำมันรำข้าว 1 ถ้วยครึ่ง

 

 

 

สามสาวแห่งมทร.ธัญบุรี ผู้คิดเมนูเด็ด บอกถึงขั้นตอนกรรมวิธีในการทำ "น้ำพริกเผารำข้าวสกัด" ว่า...เริ่มจาก ผ่าพริกแห้งเอาเม็ดออก ล้างน้ำ ผึ่งแดดให้แห้ง จากนั้นปอกเปลือกหอมแดง กระเทียม ล้าง ซอยเป็นแว่น นำไปทอดให้เหลืองกรอบ แล้วจึงทอดพริกและโขลกละเอียด

หลังจากนั้นนำกะปิไปเผาให้หอม ด้วยวิธีการนำไปจี่ด้วยใบตองบนกระทะ จากนั้นจึงเคี่ยวน้ำตาลปี๊บ, น้ำปลา และน้ำมะขามเปียก ให้รู้สึกพอเหนียว

ใส่กุ้งแห้งป่น พริก กระเทียม หอมแดงที่ได้โขลกไว้กับกะปิ ก่อนจะคนให้เข้ากันจนเดือด

เติมน้ำมันที่เหลือจากการเจียวหอมกระเทียม คนให้เข้ากัน ใส่รำข้าวสกัดจึงยกลงพักให้ เย็นบรรจุใส่ขวด ปิดฝา ถ้าใส่ตามสูตรจะได้น้ำพริกเผา 10 กระปุก

คุณค่าทางโภชนาการของน้ำพริกเผารำข้าวสกัด 1 กระปุก ขนาด 120 กรัม ประกอบด้วย พลังงาน 535.66 กิโลแคลอรี คาร์โบไฮเดรต 68 กรัม โปรตีน 8.77 กรัม ไขมัน 25.45 กรัม แคลเซียม 273.43 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 157.49 มิลลิกรัม วิตามิน A 135.12 ไมโครกรัม วิตามิน B1 0.14 มิลลิกรัม วิตามิน B รวม 0.16 มิลลิกรัม และ เส้นใยอาหาร อีกด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Update 28-08-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก

อ่านบทความสุขภาพเพิ่มเติมที่ INVariety-Health แหล่งรวมบทความสุขภาพเพื่อผู้หญิง

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เลิกบุหรี่อย่างไรไม่ให้อ้วน

ลด ละ เลิกบุหรี่ เป็นเรื่องที่ดีสำหรับสุขภาพตัวเอง หลายๆ คนรู้แต่ดูจะอิดออดชอบกล บางคนอ้างว่ากลัวน้ำหนักเพิ่ม เราจึงแนะวิธีป้องกันสำหรับใครที่พร้อมจะเลิกบุหรี่อย่างจริงจังค่ะ

เลิกบุหรี่อย่างไรไม่ให้อ้วน

อย่างแรกคือคุณควรหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะทำให้คุณกินกระหน่ำให้ได้เสียก่อน ถ้าผ่านตรงนี้มาได้ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วค่ะ จากนั้นสิ่งที่ต้องพยายามอีกหน่อยก็คือ

  • จัดตารางให้ตัวเองออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะเดิน ขี่จักรยาน เต้นรำ หรือแอโรบิก อย่างไรก็ได้ที่คุณจะสนุกกับมัน อย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์
  • เลือกกินอาหารพวกที่มีไขมันต่ำ นมพร่องมันเนย ละเว้นของทอดที่ใช้น้ำมัน เพื่อลดปริมาณไขมันสะสมในร่างกาย
  • สำหรับคนที่เคยชินกับการสูบบุหรี่พร้อมดื่มชา กาแฟ ให้ดื่มน้ำเปล่า หรือน้ำผลไม้แทน
  • หากคุณไม่ชอบให้ปากว่าง เลือกของขบเคี้ยวพวกที่มีกากใยมากๆ อย่างข้าวโพดคั่ว ขนมปังแคร้กเกอร์ที่ทำจากธัญพืช หรือหันไปกินผักผลไม้อย่างแอ๊ปเปิ้ล องุ่น หรือแครอทแช่เย็นเจี๊ยบก็ไม่เลวนัก เพราะนอกจากให้พลังงานต่ำแล้วยังได้ประโยชน์จากกากใยหรือวิตามินต่างๆ ด้วย
  • กินอาหารช้าๆ เคี้ยวนานๆ ค่อยกลืน เพราะการกินเร็วๆ จะทำให้คุณกินมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
  • สำหรับคนที่ชินกับการคีบบุหรี่ที่นิ้วเสมอๆ ควรหาขนมที่เป็นแท่ง อย่างเช่น ขนมปังกรอบแบบไขมันต่ำ มาวางไว้ทุกที่ที่คุณใช้ชีวิต เช่น ในรถ โต๊ะทำงาน เพื่อหยิบได้ทุกครั้งที่อยากบุหรี่ขึ้นมา
  • หาเม็ดอม หรือเม็นทอลมินต์ แบบปราศจากน้ำตาลพกติดตัวไว้อมแก้ขัดเวลาอยากบุหรี่
  • แปรงฟัน หรืออมเม็นทอลมินต์ทันทีหลังกินอาหารจานหลักเสร็จ จะช่วยลดความอยากของหวาน หรือความอยากบุหรี่ลงไป
  • หากิจกรรมอย่างอื่นทำแทนการกินอาหารนอกมื้อ เช่น เดินเล่น อ่านหนังสือ ทำงาน
  • หากรู้สึกว่ามือว่างอยากคีบบุหรี่ ลองหางานอดิเรกประเภทที่ต้องใช้มือทำ เช่น ทำสวน งานช่าง จะได้ใช้พลังงานไปพร้อมๆ กับลดบุหรี่ในตัว
  • หลังจากเลิกบุหรี่สำเร็จแล้ว ให้ค่อยๆ วางแผนลดน้ำหนัก ไม่ต้องรีบ โดยรอให้คุณคลายความเครียดของการเลิกบุหรี่ได้เสียก่อนจะดีกว่า

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today

  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ invariety-helath.blogspot.com แหล่งรวมบทความของคนรักสุขภาพ

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จัดการกับอาการ Jet Lag

อาการหลักๆ ของ Jet Lag ได้แก่ ปวดหัว เหนื่อยล้า หมดแรง เซื่องซึม อารมณ์ฉุนเฉียวผิดปกติ ใครทำอะไรนิดก็หงุดหงิด ตัดสินใจอะไรไม่ค่อยได้ สมาธิกระเจิง ไม่หิว หรืออยากอาหาร

คนที่เคยนั่งเครื่องบินนานๆ แบบข้ามทวีป เปลี่ยนที่ เปลี่ยนเวลา จากกลางวันเป็นกลางคืน คงเคยสัมผัสกับอาการอ่อนเพลีย หมดแรง ที่เราเรียกว่า เจ็ทแล็ค (Jet Lag) กันบ้างหรอกนะคะ

แถมจะนอนพักก็ยังหลับยากอีกต่างหาก

สาเหตุหลักๆ เกิดจากการเปลี่ยนเวลาจนนาฬิกาชีวิตเราตามไม่ทันนั่นเอง เนื่องจากนาฬิกาชีวิตเราจะทำงานตลอด 24 ชั่วโมงตามสิ่งเร้าที่มากระตุ้น เช่น การกิน และการนอน ปฏิกิริยาต่อแสงสว่างและความมืด คนที่เคยนอน 4 ทุ่มตื่น 6 โมงเป็นประจำ นาฬิกาชีวิตก็จะเดินตามนั้น เมื่อเดินทางไปต่างโซนเวลามันจึงรวนไปชั่วขณะ ยิ่งข้ามโลกไปไกลมาก ยิ่งอ่อนเพลียมาก เชื่อว่าการเดินทางข้ามโซนเวลาไปทางทิศตะวันออกจะทำให้ร่างกายต้องพยายามปรับตัวมากขึ้นกว่าไปทางทิศตะวันตก

จัดการกับอาการ Jet Lag

นับว่ายังดีที่อาการเหล่านี้มักจะเป็นเพียงชั่วข้ามคืน แต่ก็เล่นเอาหลายคนทรมานไม่น้อย ตรงนี้มีข้อแนะนำบางอย่างเพื่อช่วยลดอาการ Jet Lag ลงได้บ้างค่ะ

  • หาเที่ยวบินที่จะไปถึงที่หมายตอนกลางคืน จะช่วยให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับเวลาใหม่ได้ง่ายขึ้น
  • การขาดน้ำทำให้ร่างกายอ่อนเพลียง่าย จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์บนเครื่องบิน หันมาจิบน้ำเปล่าบ่อยๆ หรือดื่มน้ำผลไม้แทน
  • หาเวลาออกไปรับแดดในตอนกลางวันเมื่อถึงที่หมาย เพื่อให้ร่างกายรับรู้เวลาตื่น
  • ใครที่เคยออกกำลังกายเป็นประจำ เช่นวิ่งจ๊อกกิ้ง ก็ควรทำเหมือนเดิม เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว และทำให้พร้อมพักผ่อนเมื่อถึงเวลาพัก
  • อย่าเผลองีบหลับนานๆ จะทำให้คุณปรับตัวเข้ากับเวลาใหม่ได้ยาก ถ้าง่วงมากก็งีบสั้นๆ พอ
  • คนที่ต้องกินยาตามเวลาอย่างต่อเนื่อง ให้กินยาตามเวลาที่บ้านเดิม แต่หากจำเป็นต้องใช้ชีวิตในสถานที่ใหม่นานๆ ก็ควรค่อยๆ ปรับให้เข้ากับมื้ออาหารใหม่ เริ่มจากปรับให้ยาแต่ละมื้อห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง จนกว่าจะลงตัวกับมื้ออาหารในที่ใหม่ และเมื่อถึงเวลาเดินทางกลับบ้านก็ต้องทำเช่นเดียวกัน จนกว่าจะลงตัว

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today

  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ invariety-helath.blogspot.com แหล่งรวมบทความของคนรักสุขภาพ

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ชั่งใจสักนิดก่อนเข้าสปา

คุณผู้หญิงทั้งหลายให้ความสนใจไปใช้บริการสปาเป็นจำนวนมาก สปาจึงจัดเป็นที่สาธารณะ และอาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อต่างๆ ได้

ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีชื่อเสียงการให้บริการสปา นักท่องเที่ยว รวมถึงคนไทยต่างให้ความสนใจไปใช้บริการจนเป็นที่นิยมไปทั่ว ซึ่งหากมองย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว สปาที่เปิดบริการแบบมาตรฐานสากลในบ้านเรามีเพียงไม่กี่แห่ง ประกอบกับอัตราค่าบริการค่อนข้างสูง ทำให้ได้รับความนิยมเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เพราะในเมืองใหญ่ๆ หรือเมืองท่องเที่ยว เราสามารถพบเห็นสปาได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นย่านธุรกิจการค้า หรือแม้กระทั่งริมถนน ตรอก ซอกต่างๆ

สปาที่เปิดให้บริการมีหลากหลายแบบ อาจเป็นสปาที่ให้บริการครบวงจร ผนวกด้วยบริการเพื่อสุขภาพและความงามด้านอื่นๆ เช่น ฟิตเนส ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ห้องนวด ห้องเสริมสวย ฯลฯ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการว่าจะเน้นบริการลูกค้าอย่างไร และเนื่องจากสปามีให้เลือกมากมาย เพื่อความเป็นระเบียบ ได้มาตรฐาน และความปลอดภัยแก่ผู้ใช้บริการทั่วประเทศ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้กำหนดมาตรฐานสถานที่เพื่อสุขภาพ หรือเพื่อเสริมสวยตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

ชั่งใจสักนิดก่อนเข้าสปา

สถานที่ รวมถึงที่ตั้ง ระดับแสงสว่าง ความปลอดภัย และสุขอนามัยภายในสปา
ผู้ดำเนินการ มีมาตรฐานในการควบคุม ดูแลและความรับผิดชอบต่อธุรกิจ
ผู้ให้บริการ นักบำบัด หรือผู้นวด ต้องผ่านการฝึกอบรมตามหลักสูตร มีคุณสมบัติครบถ้วน
ความปลอดภัย มีมาตรฐานการทำความสะอาดเครื่องมือที่ใช้ในสปา รวมถึงการเตรียมพร้อมในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
การบริการ มีการแจ้งอัตราค่าบริการอย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้ารับทราบก่อนใช้บริการ

เนื่องจากผู้รักสุขภาพ โดยเฉพาะ ดังนั้นนอกเหนือจากจะเลือกสปาที่ชื่อเสียงในการบริการ มีความเชี่ยวชาญ ยังต้องเอาใจใส่ต่อความปลอดภัยของสุขอนามัยอีกด้วย โดยรายละเอียดที่คุณไม่ควรมองข้ามก่อนตัดสินใจเข้าสปา ได้แก่

สถานที่ แม้ว่าจะไม่มีข้อบังคับระบุว่า สปาควรตั้งอยู่ที่ใดเป็นพิเศษ แต่ก็ควรตั้งอยู่ในบริเวณที่ไม่มีเสียงอึกทึกรบกวน สามารถสังเกตเห็นทางเข้า-ออก ได้อย่างชัดเจน ภายในสปามีการติดตั้งใบอนุญาตประกอบสถานบริการถูกต้องตามกฎหมาย ห้องต่างๆ ต้องมีแสงสว่างพอเพียง แม้ว่าสปาส่วนใหญ่จะปรับแสงให้นวลตา เพื่อสร้างความรู้สึกผ่อนคลายก็ตาม แต่อย่างน้อยในห้องที่ใช้สำหรับนวด เช่น ห้องนวดหน้า ห้องเสริมสวย จำเป็นต้องมีแสงสว่างมากกว่าห้องอื่นๆ และที่สำคัญประตูห้องนวดทุกห้องต้องไม่มีกุญแจล็อก ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้า นอกจากนี้ภายในห้องนวดต้องไม่มีกลิ่นเหม็นอับ ต้องติดตั้งระบบถ่ายเทอากาศ รวมถึงอุณหภูมิในห้องนวดต้องไม่ร้อน หรือเย็นจนเกินไป

สุขอนามัยของผู้ให้บริการ นักบำบัด หรือผู้นวด ต้องได้รับการฝึกอบรมตามหลักสูตรมาตรฐาน และมีประกาศนียบัตรรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข ก่อนเริ่มต้นนวด ผู้นวด หรือนักบำบัด จำเป็นต้องทำความสะอาดร่างกายให้สะอาดก่อนให้บริการทุกครั้ง เล็บมือควรตัดสั้น ขัดให้สะอาด ผมต้องมัดเก็บให้เรียบร้อย ไม่ใส่น้ำหอม รวมถึงไม่ใส่เครื่องประดับใดๆ เพื่อป้องกันไม่ให้รบกวน หรือขีดข่วนขณะสัมผัส หรือนวด นอกจากนี้ผู้นวดหรือผู้บำบัดทุกคนต้องติดป้ายชื่อบนเสื้อ เมื่อมีการสอบถามถึงประกาศนียบัตรรับรองอาชีพ ต้องสามารถแสดงได้ หรือคุณอาจสังเกตจากใบรับรองบริเวณแผนกต้อนรับ เพื่อความมั่นใจในบริการ

การรักษาความสะอาด การรักษาความสะอาดภายในสปานับว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากมีคนแวะเวียนเข้าสปาจำนวนมาก และมักข้องเกี่ยวกับการสัมผัส การนวด การใช้น้ำมัน และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายต่างๆ ซึ่งหากทำความสะอาดไม่ดี ก็จะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค สามารถแพร่กระจายจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ง่าย ดังนั้นการพิถีพิถันเอาใจใส่ทำความสะอาดอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ภายในสปาจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนทุกครั้งที่เริ่มให้บริการแก่ลูกค้ารายใหม่ เช่น

  • ผ้าขนหนู เสื้อคลุมอาบน้ำ ผ้าปูเตียง ผ้าห่ม ควรผ่านการซัก อบ ผ่านการฆ่าเชื้อ ไม่มีกลิ่นอับชื้น ในทางตรงกันข้ามไม่ควรมีกลิ่นน้ำหอมแรงเกินไป เนื้อผ้าควรเป็นแบบผ้าฝ้าย 100% เพราะระบายความชื้นได้ดี และไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง และควรเปลี่ยนใหม่ทุกครั้งหลังใช้ ทั้งนี้ควรมีบริการอุปกรณ์ใช้แล้วทิ้ง เช่น หมวกคลุมผม รองเท้าสลิปเปอร์ กางเกงในกระดาษ เพราะนอกจากอำนวยความสะดวก ยังป้องกันการติดเชื้อได้อย่างดี
  • หวี แปรง ควรเปลี่ยนใหม่ทุกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อราและรังแค
  • อุปกรณ์ทำความสะอาดผิว ฟองน้ำ ใยบวบ แปรงขัดตัว แปรงขัดหน้า อุปกรณ์เหล่านี้ต้องเปลี่ยนใหม่ทุกครั้งเมื่อลูกค้ารายใหม่ใช้บริการ หรืออย่างน้อยต้องทำความสะอาด ฆ่าเชื้อเช่นกัน เพื่อป้องกันเชื้อราที่อาจสะสมอยู่
  • ห้องอาบน้ำ ห้องซาวน่า เนื่องจากเวลาเข้าสปา คุณมักจะต้องสัมผัสกับน้ำมันอโรมาเธอราพี เมื่อทำการชำระล้างร่างกาย คราบน้ำมันเหล่านี้มักติดตามพื้น ผนังห้องน้ำ หากไม่รีบทำความสะอาดทันที จะทำให้เกิดคราบสกปรก ดังนั้นหลังการใช้ห้องอาบน้ำ ห้องซาวน่า ควรมีการทำความสะอาด เช็ดถูทันที และที่สำคัญต้องไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีสารเคมี ส่งกลิ่นฉุน ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสำหรับสปาโดยเฉพาะ
  • ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในร้าน ควรเลือกสปาที่ใส่ใจในผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน มีราคาเหมาะสม เลือกสินค้าที่ได้รับการตรวจสอบจากองค์การอาหารและยา สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย ควรเลือกสปาที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพิสูจน์ว่าไม่แพ้ หรือพยายามใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติมากที่สุด ไม่เป็นกรดหรือด่างมากเกินไป และไม่มีกลิ่นน้ำหอมฉุน ซึ่งรวมไปถึงดอกไม้ตกแต่ง และเทียนหอมที่จุดในสปา ทั้งสองสิ่งจำเป็นสำหรับสร้างกลิ่นสดชื่นทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ต้องได้สมดุลกัน ไม่ส่งกลิ่นตีกันจนทำลายบรรยากาศอื่นๆ เสียหมด ที่สำคัญดอกไม้ที่นำมาโรยอ่างน้ำ ต้องปราศจากยาฆ่าแมลง และสุดท้ายห้องที่จุดเทียนหอม หรือน้ำมันอโรมาเธอราปี ต้องติดตั้งระบบระบายอากาศที่ดี

การเลือกใช้บริการสปาสักแห่ง จึงไม่เพียงต้องพิจารณาจากการบริการ ราคา หรือชื่อเสียงเท่านั้น แต่ต้องเจาะลึกลงไปในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ เพราะจุดมุ่งหมายของการเข้าสปา คือ ทั้งร่างกายและจิตใจ ได้รับการผ่อนคลายมากที่สุด คงไม่มีใครอยากจ่ายเงินแพงๆ แต่ได้รับการบริการแบบไม่เต็มร้อยแน่นอน ดังนั้นครั้งต่อไปที่จะเลือกเข้าสปา ขอให้พนักงานพาเดินสำรวจสักรอบ เพื่อเป็นตัวเสริมในการตัดสินใจย่อมไม่เสียหายค่ะ
TIPS ควรรู้ก่อนไปสปา

  • หากคุณตั้งครรภ์ หรือเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้บริการ สปาทุกครั้ง แต่ไม่แนะนำให้เข้าห้องซาวน่า หรือห้องสตรีม เนื่องจากมีอุณหภูมิสูง ทำให้หลอดเลือดขยาย หัวใจจะสูบฉีดเร็วขึ้น จะทำให้ปวดหัว มีอาการมึน ตาพร่า
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหนัก หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 ชั่วโมง ก่อนเข้าสปา แต่ก็ไม่ควรปล่อยท้องว่างเช่นกัน
  • ควรไปถึงเวลานัดล่วงหน้า 15 นาที เพื่อเตรียมพร้อมก่อนเข้ารับบริการ เช่น การพักดื่มน้ำ หรือชาสมุนไพร
  • หลีกเลี่ยงการแว็กซ์ หรือโกนขน 1 วันก่อนเข้ารับบริการขัดผิวด้วยเกลือ มิฉะนั้นผิวอาจเกิดการระคายเคืองได้
  • ควรหลีกเลี่ยงการตากแดด หรืออยู่กลางแดดจัด ก่อนการเข้ารับบริการนวดใดๆ
  • หากใส่เครื่องประดับ ให้ถอดออกก่อนเข้ารับบริการ อาจฝากไว้ในตู้นิรภัยที่ทางสปาเตรียมไว้ให้ แต่ถ้าถอดเก็บไว้ที่บ้านจะปลอดภัยที่สุด
  • ในระหว่างการรับบริการสปา ควรหลับตาและสูดหายใจเข้า-ออก ลึกๆ จะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายยิ่งขึ้น
  • ควรปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด เพื่อคุณจะได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง
  • ตลอดเวลาที่ได้รับบริการ หากรู้สึกไม่สบาย หรือไม่พอใจ ควรแจ้งกับผู้นวด หรือนักบำบัดให้ให้ทราบทันที

ข้อมูลจาก: Mr. Andrew Jacka, Horwath Spa Consulting / Mr.Richard Williams, Manager of Chiva-Som International Health Resort และภาพจาก Mandara Spa ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today

  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ invariety-helath.blogspot.com แหล่งรวมบทความของคนรักสุขภาพ

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คุณเป็นนักช้อปปิ้ง..ไร้สติหรือเปล่า?

จะว่าไปนักจิตวิทยาเขาบอกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเราจะควบคุมนิสัยการช้อปปิ้งของตัวเองได้ยากมาก

คุณเป็นนักช้อปปิ้ง..ไร้สติหรือเปล่า?

ผลสำรวจของนิตยสาร The Marketeer ที่สำรวจสาวไทยวัยทำงานอายุระหว่าง 21-29 ปี เกี่ยวกับค่านิยม ความเชื่อ และวิถีการดำเนินชีวิต ได้ผลสรุปมาข้อหนึ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจว่า กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดมีคะแนนนำลิ่วมาได้แก่ กลุ่มสาวทำงานยุคใหม่ ที่มีลักษณะเด่นคือ เป็นพวกบ้างาน ส่วนหนึ่งเพราะกลัวความไม่มั่นคง และมักจะทำงานหนักเพื่อหาเงินมาปรนเปรอความสุขให้กับตัวเอง ค่อนข้างเป็นวัตถุนิยม และมักจะหาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยการจับจ่ายซื้อของจนกลายเป็นนิสัย

หนังสือนิยายขายดีเรื่อง The Secret Dreamworld of a Shopaholic เขียนโดยนักข่าวสาวอย่าง โซฟี คินเซลลา หรือเวอร์ชั่นที่แปลเป็นไทยว่า คำสารภาพของสาวนักช้อปฯ ที่แปลโดยคุณพลอย จริยะเวช ได้ขุดคุ้ยแคะเอารูปแบบการใช้ชีวิตสาวสมัยใหม่ที่ใฝ่ใจการช้อปปิ้ง แก้กลุ้ม ออกมาตีแผ่อย่างสนุกสนานปนความสะใจ ซึ่งสะท้อนความเป็นจริงของไลฟ์สไตล์สาวๆ ยุคปัจจุบันอย่างถึงกึ๋น ที่หนังสือขายดิบขายดีก็คงเป็นเพราะเนื้อหาคงไปจี้ใจดำใครหลายๆ คนอยู่กระมัง
อาการประเภทที่ว่า ฉันรู้สึกเครียดจังวันนี้ งานก็เยอะ เจ้านายก็บ่นทั้งวัน กลับบ้านเร็วก็เหงาน่าเบื่อ เลิกงานทั้งทีขอไปเดินห้าง(สรรพสินค้า)ให้เย็นใจดีกว่าครั้งพอไปเดินเห็นเสื้อผ้าถูกใจ ราคาพอสู้ไหว ถึงเงินสดไม่มีเครดิตการ์ดที่ทำไว้ตั้งหลายใบก็ยังพอจ่าย...ว่าแล้วก็ซื้อมันซะเลยสะใจดี พอเดินไปอีกก้าวเห็นรองเท้าคู่ที่หน้าตาสวยไม่เลว มันช่างเปล่งประกายเหมือนรอให้เราเป็นเจ้าของอยู่พอดี...อย่ากระนั้นเลย....ซื้อมันไปให้เป็นเพื่อนกับรองเท้าเสื้อผ้าที่มีอยู่เต็มบ้านเสียดีกว่า แล้วก็...เอ้า...ซื้อซะ (อีกแล้ว)
ทั้งๆ ที่แผนการซื้อของเหล่านี้ไม่เคยอยู่ในหัวมาก่อนล่วงหน้าเลยสักนิดเดียว การได้จับจ่ายเงินออกไปแลกกับสิ่งของที่ถูกใจบางอย่างกลับมา ซึ่งมักจะเป็นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย นักจิตวิทยาเขาว่ามันไปช่วยทดแทนความรู้สึกสูญเสียความมั่นใจอะไรบางอย่างในตัวคนเรา คล้ายๆ กับคนที่กำลังหิวแล้วได้กินอาหาร คนช้อปปิ้งแบบไม่ยั้งคิดที่อาการหนักหน่อยก็เป็นอาการผิดปกติเช่นเดียวกับคนที่ควบคุมนิสัยการกินของตัวเองไม่ได้ อย่างคนที่เป็นโรคบูลิเมีย ที่ชอบล้วงคอให้อาเจียนหลังกินอาหาร หรืออะนอรีเซีย เห็นอะไรก็ไม่อยากกินไปหมด กินทั้งวัน ทำให้อ้วน กลับกันแต่การคลายเครียดด้วยการช้อปปิ้ง ช่างเป็นนิสัยที่เป็นอันตรายต่อสภาวะทางการเงินในกระเป๋า เป็นเหตุให้คุณอีกหลายต่อหลายคนต้องนั่งกุมขมับตอนปลายเดือน หรือเวลาที่ใบเรียกเก็บเงินบัตรเครดิตส่งมาถึงบ้าน ถึงเวลานั้นทีไรใจก็แป้ว และมักจะสำนึกผิดในวิธีการคลายเครียดที่ตัวเองทำลงไปอย่างนั้นเสียทุกที พอจัดการกับบรรดาบัตรเครดิตทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว วงจรเดิมๆ ก็เริ่มกันใหม่ในเดือนใหม่อีกครั้ง แล้วคุณล่ะ...กำลังประสบสภาวะอย่างนี้อยู่หรือเปล่าคะ?
เพราะขณะที่เรากำลังเดินเล่นอยู่ในห้างสรรพสินค้าหรือตลาดนัด หรือแม้แต่เดินเฉียดแผงลอยข้างถนน เราล้วนถูกแวดล้อมด้วยคนที่พร้อมจะจ่ายเงินซื้อของเหมือนๆ กันจำนวนมากที่พอจะส่งอิทธิพลทางความคิดมาถึงเราได้ และสนับสนุนความรู้สึกอยากช้อปของเราให้มากขึ้น ยิ่งคนที่เติบโตขึ้นมาในสังคมเมืองที่มีชีวิตอยู่กับการที่จะต้องจับจ่ายใช้สอยอยู่ตลอดเวลา การได้ใช้เงินบางทีก็เป็นการผ่อนคลายที่แสนธรรมดาวิธีหนึ่ง แต่จะไม่ใช่เรื่องผิดหากคุณช้อปปิ้งแบบ มีสติ เพราะหากว่าช้อปฯ แบบ ไร้สติ แล้วนี่ เข้าข่ายโรคจิตแล้วล่ะ แถมเห็นทีคุณจะต้องประสบความยุ่งยากทางการเงินตามมาแน่ๆ ต้องรีบแก้นิสัยเสียนี้โดยด่วน
ลองมาดูว่าพฤติกรรมการช้อปฯที่ผ่านๆ มาของคุณนั้นเข้าข่ายผิดปกติแล้วหรือยัง หากคุณตอบว่า ใช่ เกินครึ่งของคำถามต่อไปนี้นั้น ก็คงพอฟันธงลงไปได้ว่าคุณเริ่มเข้าข่ายเป็น นักช้อปฯไร้สติเสียแล้วล่ะค่ะ คุณคงต้องรีบหาทางจัดการเยียวยาตัวเองก่อนบัญชีคุณจะบานปลายไปกว่านี้
- คุณยังไม่ใช้ของที่ตัวเองซื้อมา ยอมรับมาซะดีๆ ว่ามีบางชิ้นที่คุณยังไม่แกะออกจากห่อเลยด้วยซ้ำ
- ยอดเครดิตการ์ดกี่ใบๆ ที่คุณมีต่างก็เฉียดเต็มเพดานอยู่รอมร่อแล้ว
- คุณมักจะเอาของที่ซื้อมาแล้วไปเปลี่ยนหรือคืนที่ร้านเป็นประจำ
- ตอนแรกที่ซื้อของมาคุณก็มักจะรู้สึกดีอยู่หรอก แต่พอเวลาผ่านไปคุณมักรู้สึกผิดที่ใช้เงิน พาลให้รู้สึกแย่ๆ กับนิสัยนี้ของตัวเองเป็นประจำ
- คุณไม่กล้าบอกสามีหรือเพื่อนว่าคุณไปช้อปปิ้งมา
- คุณเลือกที่จะไปช้อปปิ้งแทนการนัดเพื่อนหรือไปงานที่มีคนเชิญมาเสมอ
- หากวันไหนคุณไม่ได้ไปซื้อของ คุณมักจะกระวนกระวายและรู้สึกร้อนรุ่ม
- คุณรู้สึกดีมากๆ หากพนักงานขายพูดจาดีๆ กับคุณ และจะรู้สึกเศร้าหากพนักงานพวกนั้นไม่ต้อนรับคุณด้วยดี
- เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกแย่กับอะไรก็ตาม คุณจะรู้สึกอยากออกไปช้อปปิ้งเพื่อหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ
- คุณมักจะไม่เคยกะการล่วงหน้าว่าจะซื้ออะไร แต่ชอบที่จะไปเดินดูแล้วค่อยหยิบของที่อยากได้ในขณะนั้น
แม้ว่าการช้อปปิ้งจะทำให้คุณสบายใจจนคุณเผลอ เสพการช้อปปิ้ง โดยไม่รู้ตัว เราคงได้แต่เตือนกันให้คุณรู้จักบันยะบันยังบ้างตามสภาพเศรษฐกิจและความเป็นจริงที่หนีไม่พ้นนะคะ เพราะถึงอย่างไรการเก็บเงินไว้ใช้จ่ายในยามที่จำเป็นก็เป็นเรื่องสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต นักจิตวิทยาได้รวบรวมคำแนะนำดีๆ สำหรับเยียวยานิสัยโรคนักช้อปเอาไว้ให้แล้ว ลองทำตามดูก็คงไม่เสียหลาย เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น ดังนี้ค่ะ
- ก่อนออกไปช้อปปิ้ง ทำรายการของที่ตั้งใจจะซื้อจดใส่กระดาษให้ชัดเจน และซื้อของเฉพาะที่อยู่ในรายการเท่านั้น อย่าออกนอกรายการเด็ดขาด
- เลือกเดินคนเดียว เพราะหากไปกับเพื่อนคุณจะมีโอกาสถูกลูกยุได้สูง
- เมื่อไหร่ที่เกิดไปปิ๊งของแพงหูดับจนแทบจะอดใจไม่ได้อยู่รอมร่อ จงหยุด และให้เวลาตัดสินใจกับตัวเองสัก 24 ชั่วโมง แล้วเดินออกจากร้านไปก่อน คุณจะจัดการกับอารมณ์อยากได้ของตัวเองได้ดีขึ้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ
- หากคุณรู้สึกว่าการได้จ่ายเงินซื้อของอะไรก็ตามเป็นเรื่องที่ทำให้คุณสบายใจขึ้นมากแล้วล่ะก็ แทนที่จะซื้อของแพงๆ อย่างเสื้อผ้า รองเท้า แบรนด์เนมต่างๆ ก็ลองหันมามองของแบกะดินถูกๆ หรือซื้อพวกกับข้าว หรือของจำเป็นในครัวเรือนเสียเลยยิ่งดี หากยิ่งต่อราคาได้ คุณก็จะได้ใช้เงินน้อยลงไงคะ
- และหากคุณภูมิใจ อุ่นใจกับการมีเครดิตการ์ดติดกระเป๋าสตางค์ จนห้ามใจไม่อยู่หยิบมันออกมาใช้เรื่อยๆ แล้วนี่ เห็นทีต้องปฏิบัติการขั้นเด็ดขาด ทำใจแข็งไว้ค่ะ แล้วเก็บมันใส่กล่อง ล็อคกุญแจไว้เลย แล้วก็เอากล่องนั้นใส่ไว้อีกกล่องหนึ่ง แล้วก็ซุกไว้ลึกๆ ในตู้เสื้อผ้าที่บ้าน ทีนี้เมื่อไหร่ที่คุณอยากได้ของอะไร ทั้งๆ ที่เงินสดก็ไม่พอ (หนี้เก่าก็มีเพียบ) อย่างน้อยจะได้ชั่งใจ กลั่นกรองความอยากถึง 3 ชั้นขณะที่จะหยิบเจ้าเครดิตการ์ดเหล่านั้นมาใช้ เวลาเหล่านี้อาจจะช่วยเรียกสติและความยั้งคิดของคุณกลับมาได้บ้างค่ะ
......แล้ววันนี้คุณมีแผนจะออกไปช้อปปิ้งอยู่หรือเปล่าคะ?.....

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today

  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ invariety-helath.blogspot.com แหล่งรวมบทความของคนรักสุขภาพ

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แบ่งเวลาระหว่าง งาน-ครอบครัว

คนเราไม่สามารถกระทำทุกสิ่งให้สำเร็จได้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นคุณต้องเริ่มบริหารเวลาใหม่และจัดสรรสิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับก่อนหลัง

แบ่งเวลาระหว่าง งาน-ครอบครัว

บทความเรื่องนี้คัดสรรมาเพื่อผู้ที่ชอบพูดติดปากว่า ฉันยุ่งจนไม่มีเวลาให้กับครอบครัวหรือแม้แต่กับตัวเอง !!
เป็นเรื่องปฏิเสธไม่ได้ว่า งาน ครอบครัว และเวลาส่วนตัว สามส่วนนี้รวมอยู่ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงที่มนุษย์ทุกคนมีเทียบเท่ากันหมด แตกต่างกันตรงที่ว่าใครจะสามารถจัดสรรสัดส่วนให้ลงตัวได้มากกว่ากัน ความหมายของการจัดสรรลงตัวต้องตอบโจทย์ความต้องการของทั้งสามส่วนได้ตามเป้าด้วย
สาเหตุหลักของปัญหาครอบครัว ปัญหาชีวิตก็มาจากเรื่องนี้ ตราบใดที่คนยังต้องการเงิน ความรัก และสนองตอบความต้องการของตัวเอง ไปพร้อมๆ กัน แถมต้องแข่งขันกับคนอื่นอีกยิ่งทำให้ความสมดุลของชีวิตถูกกระทบจนเสียศูนย์ ความสำเร็จของชีวิตไม่ได้วัดกันที่ใครมีเงินมากกว่ากัน หรือความสำเร็จก้าวหน้าในหน้าที่การงานเกินหน้าคนอื่น ในทางกลับกันก็ไม่ใช่รักครอบครัวจนทิ้งงาน ทุกสิ่งควรจะเดินไปพร้อมๆ กัน อย่างสมดุล ไม่ใช่ทุ่มกับบางอย่างจนสุดโต่งในขณะที่อีกด้านหนึ่งกำลังขมวดปมปัญหาแน่นขึ้นทุกวัน

พูดง่ายๆ คือต่อไปนี้ไม่ว่าคุณจะทำอะไรต้องมีแผนทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัว จัดเป็นตารางเวลาซึ่งจะทำให้ชีวิตมีระบบมากขึ้น แล้วก็ไม่ใช่เอา 24 ชั่วโมงหาร 3 เพราะเป็นไปไม่ได้ ความสมดุลของชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ใช้ไปกับสิ่งนั้น แต่อยู่ที่คุณภาพ สาระและคุณค่าที่เราได้ทำสิ่งนั้นๆ ต่างหาก ตัวเอย่างเช่น บางคนกลับบ้านค่ำเพราะมีงานมาก แต่ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวยังสนิทแนบแน่น นั่นเป็นเพราะเขามีวิธีใส่ใจ รู้จักใช้โอกาสและเวลาให้เป็นประโยชน์

จงให้คุณค่ากับสิ่งสำคัญในชีวิต
เป็นปกติของคนที่ยุ่งมากที่มักจะลืมให้ความสำคัญกับสิ่งมีค่าในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพตัวเอง หรือความรู้สึกของคนในครอบครัว กว่าจะรู้สึกตัวก็สายเสียแล้ว เข้าทำนองวัวหายล้อมคอก ลองใช้วิธีตั้งคำถามตัวเองว่า ถ้าคุณมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 1 ปี จากนี้คุณต้องการจะทำอะไร? แล้วพิจารณาคำตอบว่าสิ่งที่คุณกำลังปฏิบัติแตกต่างจากสิ่งที่คุณต้องการอย่างไร ถ้าตอบตัวเองว่าต้องการใช้เวลากับครอบครัวของคุณเป็นอันดับแรก แล้วคุณได้จัดเวลาเพื่ออยู่กับครอบครัวหรือยัง?

วางแนวทางชีวิตและอนาคต
เมื่อรู้ความต้องการแท้จริงของตัวเองแล้ว ก็มองหาแนวทางที่จะทำให้สิ่งนั้นบรรลุผล อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไร เช่น อยากไปเที่ยวด้วยกัน ก็รีบจองห้องพักเสียเลยอย่ารีรอ

จัดเวลาให้เหมาะสม
การทำตารางเวลาเท่ากับเป็นการวางแผนและจัดระบบตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ซึ่งจะทำให้คุณทราบถึงเวลาเริ่มต้น และสิ้นสุดของภาระกิจแต่ละอย่าง ต้องเคร่งครัดและมีสมาธิกับการทำงานที่รับผิดชอบจึงจะได้งานดีมีคุณภาพ สำเร็จตรงเวลา

ที่ทำงาน
- ใช้หลักการให้ความสำคัญและการจัดตารางเวลาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ ลองมองว่าอะไรเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดที่หัวหน้างานต้องการ
- หากสิ่งที่ทำอยู่เป็นงานนอกเหนือจากงานที่รับผิดชอบ ควรบอกให้หัวหน้างานรับทราบว่ามีธุระ และจะกลับมาทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จในเวลาอื่นแทน
- ชี้แจงว่าตัวเองกำลังรับผิดชอบงานบางอย่างอยู่ ให้หัวหน้าบอกว่างานส่วนใดต้องการด่วนที่สุด
- บอกหัวหน้าถึงเวลาที่สะดวก และขอความเห็นว่า คิดอย่างไรกับเวลาดังกล่าว

ที่บ้าน
- บอกตารางงานและกิจกรรมต่อกันและกันภายในครอบครัวเพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้ง
- สังสรรค์กันในครอบครัวอย่าให้ขาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
- ฝึกให้สมาชิกในครอบครัวดูแลและช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุดในทุกเรื่อง
- ว่าจ้างพี่เลี้ยง แม่บ้านสักคนจะทำให้คุณมีเวลาเหลือในแต่ละวันมากขึ้น

สิ่งที่คุณต้องปรับตัวเพื่อปฏิบัติการตามแผนใหม่ให้สำเร็จ ต้องความตั้งใจจริง บอกตัวเองว่า จะต้องทำให้ได้ ลืมคำว่า เอาไว้ก่อน ให้สนิท

ปัจจัยหลักในการสร้างความสมดุลให้ชีวิต

1. รักษาสุขภาพให้สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมนำมาซึ่งพลังงานในการทำงานและความคิดสร้างสรรค์ที่ชัดเจนเฉียบคม
- สุขภาพกายดูแลได้ไม่ยาก ด้วยเรื่องอาหารการกิน พักผ่อนให้พอ และการออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- สุขภาพใจยากกว่า จิตใจที่สมบูรณ์ทำให้เกิดความกระปรี้กระเปร่า มีพลัง มองเหตุการณ์ร้ายเป็นเรื่องขบขัน เข้าถึงความสวยงามของสิ่งต่างๆ มองอุปสรรคเป็นประสบการณ์ชีวิต

2. ทำกิจกรรมที่มีความหมายต่อตนเองหรือผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม อาชีพที่ทำอยู่ เป็นอาสาสมัคร หรือแม้แต่การทำงานบ้าน เมื่อทำมากเกินไป ก็จะเกิดความไม่สมดุล ลองใช้วิธีประเมินสิ่งที่คุณหวังจากการทำงานเพื่อจัดการกับเวลาของคุณและสร้างเป้าหมายในชีวิต แน่นอนเพื่อหาเลี้ยงชีพ เพื่อให้มีปัจจัยในการซื้อหาสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต และแสดงสถานภาพทางสังคม ลองถามตัวเองดูว่าคุณทำงานเพื่ออะไร? และได้อะไรจากการทำงานนี้? ถ้ารู้สึกจำเจ ลองเรียนรู้วิทยาการใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงการทำงาน เช่น เข้าอบรมระยะสั้น หรืออาสาสมัครพัฒนาโครงการใหม่เพื่อความก้าวหน้าขององค์กร การทำเช่นนี้ทำให้มีคุณค่าทั้งต่อตนเอง องค์กร และครอบครัว

แบ่งเวลาระหว่าง งาน-ครอบครัว

ข้อคิดในการจัดการกับงาน
ทำงานที่ยาก เช่น แก้ปัญหาในเวลาที่คุณรู้สึกมีความพร้อมสูงสุดในแต่ละวัน
แบ่งงานใหญ่ให้เป็นชิ้นงานย่อย แล้วกำหนดเวลาเสร็จให้กับทุกชิ้นงาน
ศึกษาวิธีบริหารเวลาจากคู่มือ หรือจากบุคคลที่ประสบความสำเร็จ

3. เสริมสร้างความสัมพันธ์อันอบอุ่นระหว่างคนในครอบครัว เพื่อน และผู้ร่วมงาน ความสัมพันธ์ของคนนั้นแต่ละฝ่ายมักจะต้องอดทนกับการแสดงออกของกันและกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ควรทำเพื่อรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้คือระลึกถึงสิ่งดีๆ ที่คุณประทับใจหรือสิ่งที่คุณชอบในตัวเขาหรือเธอ จะพบว่ายังมีสิ่งดีมากมายที่ควรค่าแก่การรักษาไว้ ลองเปลี่ยนแปลงท่าทีที่เริ่มจะขัดเคืองนั้นเสียใหม่ โอนอ่อนให้กันมากขึ้น อาจนัดทานอาหารร่วมกัน เขียนข้อความสั้นๆ สื่อสารกันด้วยสำนวนที่ให้ความรู้สึกดีๆ เป็นต้น
ควรหาเวลาพูดคุย และเล่นกับลูกๆ เป็นประจำวันทุกวัน ใส่ใจถามไถ่ว่าวันนี้พวกเขาเจอะเจออะไรมาบ้าง เล่าเรื่องที่ตัวคุณเองประสบมาให้ลูกๆ ฟังแลกเปลี่ยนกัน สร้างความรู้สึกว่า เรามีกันและกันให้หยั่งรากลึกในหัวใจลูกๆ และทุกคนในครอบครัว
หาเวลาพบปะญาติ เพื่อนฝูง หรืออย่างน้อยก็โทรศัพท์พูดคุยทักทายกันเสมอๆ อย่างน้อยก็อาทิตย์ละครั้ง
หาเวลาสนุกสนานเสวนากับเพื่อนร่วมงาน เช่นรับประทานอาหารร่วมกัน หรือสังสรรค์วันศุกร์สุดสัปดาห์ เชื่อมสัมพันธภาพที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมงานมากขึ้น

4. ความสงบสุขทางจิตใจ แม้ว่าคุณมีเรื่องวุ่นวายใจต้องขบคิดกับปัญหารอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจ เงินทอง ความสัมพันธ์กับคน ตลอดจนเรื่องของงาน ความสงบสุขทางจิตใจจะช่วยให้คุณมีสติ พร้อมฝ่าฟันอุปสรรคและความหนักใจให้ผ่านพ้นไปได้ ลองนึกถึงสิ่งที่คุณกังวลเข้าขั้นทำให้นอนไม่หลับว่ามันเป็นสิ่งที่คุณจัดการกับมันได้ด้วยตัวเองหรือไม่

ข้อคิดที่จะช่วยให้คุณจัดการกับความกังวล
ปรับปรุงระบบการเงินของคุณ เริ่มต้นจากการออมทรัพย์ ต่อจากนั้นพยายามลดหนี้ โดยเฉพาะควบคุมการรูดบัตรเครดิตของตัวเอง ลองใช้เครดิตการ์ดเพียงครึ่งเดียวจากยอดเงินที่เคยใช้ในครั้งก่อน ลดการเดินช้อปปิ้งลง นี่สำคัญมาก !
หาพี่เลี้ยง หรือแม่บ้านดูแลคนในครอบครัวทั้งเด็กและคนชรา ตลอดจนงานบ้าน
ระวังภัยใกล้ตัว ควรสอนเด็กในบ้านให้ระวังตัวจากคนแปลกหน้า ส่งลูกเรียนศิลปะป้องกันตัว ดูแลตรวจตราเรื่องน้ำไฟภายในบ้านทุกครั้งที่ไม่ใช้ ฯลฯ
ศาสนาก็จรรโลงจิตใจให้สุขสงบขึ้นได้ ความเชื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าในการมีชีวิต

ข้อคิดที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะช่วยให้คุณสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นกับชีวิต และจะทำให้คุณพร้อมที่จะพัฒนาชีวิตของคุณไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ได้ไม่ยาก เพียงแต่เริ่มต้นลงมือทำเสียแต่วันนี้

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today

  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ invariety-helath.blogspot.com แหล่งรวมบทความของคนรักสุขภาพ

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คุณพอใจกับงานที่ทำอยู่แค่ไหน ?!

เริ่มต้นด้วยถามตัวเองก่อนว่า คุณมีความต้องการอะไรจากงานที่ทำอยู่ คุณพอใจหน้าที่ประจำที่ทำอยู่นี้หรือเปล่า

คุณพอใจกับงานที่ทำอยู่แค่ไหน ?!

บางทีคุณอาจเป็นคนที่โชคดีในจำนวนคนกลุ่มน้อยที่รู้สึกพอใจในหน้าที่การงานที่ทำอยู่ เพราะทั้งตรงกับความสามารถ และรายได้ตอบแทนเป็นที่พึงพอใจ คุณจะเห็นด้วยไหมว่า ถ้าถามคนวัยทำงานดู มักจะได้คำตอบส่วนใหญ่คือไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง คือไม่พอใจกับลักษณะงานที่ทำ หรือไม่พอใจกับรายได้ที่ได้รับ ถ้าเป็นอย่างนี้ชีวีจะมีสุขได้อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขเสียแล้ว
เริ่มต้นด้วยถามตัวเองก่อนว่า คุณมีความต้องการอะไรจากงานที่ทำอยู่ คุณพอใจหน้าที่ประจำที่ทำอยู่นี้หรือเปล่า แล้วหน้าที่ที่ทำประจำนี้ตรงตามความต้องการของคุณหรือเปล่า คุณลองถามตัวเองซ้ำๆ คุณอาจจะค้นพบระหว่าง ความจำเป็น และ ความพอใจ ซึ่งทั้งสองคำนี้มีความต่างกันมากและมีความสำคัญด้วยกันทั้งคู่ บางครั้งคุณมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อตอบสนองความจำเป็น ในขณะที่บางครั้งไม่ได้พอใจกับงานนั้นสักเท่าไร แล้วทำอย่างไรล่ะถ้าเป็นแบบนี้...วิธีคือ คุณจะต้องมองไปที่เป้าหมายระยะยาว แล้วถามตัวเองซ้ำอีกครั้งว่า คุณต้องการอะไรหรือปรารถนาให้ชีวิตเป็นอย่างไร ที่ไหนที่คุณจะได้มันมา และ คุณต้องทำอย่างไรถึงจะได้มาใน 5 ปี แล้วอีก 10 ปี จากนี้คุณจะเป็นอย่างไร
หากว่าคุณค้นพบคำตอบเหล่านี้ให้กับตัวเองได้ และหากคุณพบว่างานที่ทำอยู่ไม่น่าพอใจนัก หรือไม่สามารถช่วยให้คุณไปสู่เป้าหมายชีวิตที่วางไว้ได้ จะมีทางเลือกอื่นอีกหรือไม่ บางครั้งการคิดที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำมานานๆ ก็ดูจะทำให้ประสาทเสียเหมือนกัน แต่ถ้าคุณค่อยๆ คิดและพิจารณาทางเลือกอย่างใจเย็นและรอบครอบมันก็น่าจะดีการเสียเวลาชีวิตอยู่กับสิ่งที่ไม่สามารถเติมฝันคุณให้เป็นจริงได้ ถ้าคุณพบแล้วว่าตัวเองต้องการอะไร มองให้ออกว่าต้องไปทางไหนจึงจะถึง ก็คงต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้วล่ะ...
ทางเลือกเพื่อปรับปรุงและพัฒนาไปสู่เป้าหมายชีวิตของคุณ
หาทางเปลี่ยนแปลงลักษณะงานที่ทำ โดยคุยกับหัวหน้าหรือผู้บริหารของคุณ เช่น ขอเปลี่ยนแผนก เปลี่ยนบทบาทหน้าที่ หรือของานที่ท้าทายและตรงเป้าหมายกว่าเดิม
หางานใหม่ที่เหมาะสมกับตัวคุณและเป้าหมายมากกว่านี้
ถ้ายังค้นไม่พบว่าตัวเองต้องการอะไร ให้หยุด แล้วเริ่มตั้งต้นทบทวนและวางแนวทางใหม่ที่ชัดเจนขึ้นให้กับตัวเอง
ถ้าคิดว่างานที่ทำพอไปไหว จงทำงานต่อไปให้ดีที่สุด แล้วเร่งหาความรู้หรือทักษะใหม่เสริม เพื่อสร้างโอกาสในอนาคตให้สามารถเปลี่ยนงานใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ทำงานอื่นนอกเวลาจากงานประจำ ที่จะทำให้คุณบรรลุความฝันและเป้าหมายชีวิตได้สำเร็จ
เอาล่ะทีนี้สำหรับคนที่ยังค้นไม่พบตัวเอง และไม่เคยมีเป้าหมายให้ชีวิตมาก่อนคงถึงเวลาแล้วที่คุณจะทบทวนบทบาทที่เป็นอยู่ กับความฝันที่อยากจะเป็น แล้วคุณจะค่อยๆ มองเห็นเส้นทางไปชัดเจนมากขึ้นค่ะ จงรีบกำหนดเส้นทางให้ตัวเองอย่าปล่อยให้กระแสน้ำพัดชีวิตไปเรื่อยๆ เพราะมันอาจจะไม่ถึงฝั่งแต่วนเวียนอยู่กลางทะเลก็เป็นได้ ถึงวันหนึ่งหมดแรงตามวัยแล้วจะหันหัวเรือหาฝั่งไม่ทันนะคะ

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คุมน้ำตาลเพื่อแผลผ่าตัด !

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เหมาะสมอย่างเคร่งครัดในช่วงก่อนการผ่าตัด จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อนได้ไม่น้อย

คุมน้ำตาลเพื่อแผลผ่าตัด !

สำหรับคนเป็นเบาหวาน เมื่อมีเหตุให้ต้องทำการผ่าตัดด้วยเรื่องอะไรก็ตาม หลายคนคงเป็นกังวลใจไม่น้อยเกี่ยวกับการติดเชื้อโดยเฉพาะที่แผลผ่าตัด

แต่จากการศึกษาวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ โดยทีมวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล สหรัฐอเมริกา พบว่า

การศึกษาดังกล่าวนี้ทำในผู้ที่เป็นเบาหวานที่จำเป็นต้องทำการผ่าตัดด้วยโรคที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ จำนวน 490 คน อายุเฉลี่ย 71 ปี คณะวิจัยทำการวัดระดับฮีโมโกลบินในเลือดช่วง 180 วันก่อนผ่าตัด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการควบคุมระดับกลูโคสในเลือดระหว่างช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งเกณฑ์การวัดก็คือคนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดดี จะต้องมีระดับฮีโมโกลบิน (Hb A1c) ต่ำกว่า 7% ซึ่งเป็นเป้าหมายตามที่สมาคมโรคเบาหวานแห่งสหรัฐฯ กำหนด

ผลออกมาว่า ผู้ร่วมการวิจัย 197 คน (40%) มีการควบคุมระดับน้ำตาลที่ดี และพบอีกว่าในกลุ่มที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีนัก จะมีอัตราการติดเชื้อหลังผ่าตัดที่สูงกว่ากลุ่มแรก อาทิเช่น เกิดภาวะปอดบวม (pneumonia) แผลติดเชื้อ ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ หรือติดเชื้อในระบบหมุนเวียนเลือด ซึ่งล้วนแต่เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด มีโรคประจำตัว มีแผลที่ดูแลได้ไม่สะอาด หรือต้องทำการผ่าตัดเป็นเวลานานหรือซ้ำหลายครั้ง

รายงานการวิจัยนี้ได้ตีพิมพ์ในวารสารงานวิจัยสำหรับศัลยแพทย์ The Archives of Surgery ฉบับเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทีมวิจัยได้เสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้ว่าน่าจะเป็นเพราะคนที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดช่วงก่อนผ่าตัดที่ดี มีแนวโน้มที่จะมีระดับน้ำตาลในเลือดหลังผ่าตัดที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน ซึ่งช่วยให้สุขภาพโดยรวมและระบบการเผาผลาญอาหารของคนผู้นั้นเป็นไปด้วยดี จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหลังผ่าตัดได้มาก

อ่านถึงข้อดีของการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดตรงนี้แล้ว ใครที่เป็นเบาหวาน ถึงแม้ยังไม่มีเหตุให้ต้องผ่าตัดใดๆ อย่างในการทดลองเขาว่า ก็ควรหมั่นตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด และรักษาให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้สุขภาพของคุณยังคงแข็งแรงไม่อ่อนข้อให้กับเบาหวานที่มารบกวนนะคะ

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today

  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ invariety-helath.blogspot.com แหล่งรวมบทความของคนรักสุขภาพ

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สารชุบชีวิตยืนยงในไวน์แดง !

สารเคมีหนึ่งในกลุ่มนั้นคือ resveratrol ที่พบในไวน์แดงโดยเฉพาะไวน์ที่ผลิตในเขตหนาว เช่นในนิวยอร์ค

สารชุบชีวิตยืนยงในไวน์แดง !

เมื่อเร็วๆ นี้มีรายงานในนิวยอร์คไทมส์ว่านักชีววิทยาได้ค้นพบกลุ่มของสารเคมีในไวน์แดงที่คาดว่าจะช่วยยืดอายุคนเราให้ยืนยาวยิ่งขึ้น สารเคมีหนึ่งในกลุ่มนั้นคือ resveratrol ที่พบในไวน์แดงโดยเฉพาะไวน์ที่ผลิตในเขตหนาว เช่นในนิวยอร์ค การค้นพบนี้ทำให้อธิบายได้ว่าเหตุใดชาวฝรั่งเศสที่ชอบกินอาหารไขมันสูงซึ่งเสี่ยงต่อโรคหัวใจจึงมีชีวิตยืนยาวเหมือนคนอื่น

สารเคมีนี้ออกฤทธิ์เลียนแบบอาหารแคลอรีต่ำที่ช่วยยืดวงจรชีวิตของหนูทดลอง นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าถ้าสารเคมีเหล่านี้ออกฤทธิ์ต่อคนเหมือนกับในหนู ก็จะช่วยทำให้อายุขัยของคนยาวขึ้น 30 % ซึ่ง Dr. Leonard Guarente หนึ่งในนักวิจัยจาก Massachusetts Institute of Technology กล่าวว่าถ้าคนที่มีอายุ 50 ปีได้รับสารเคมีนี้ ก็อาจจะทำให้ชีวิตยืนยาวเพิ่มขึ้นได้อีก 10 ปี โดย Dr.David Sinclair จาก Harvard Medical School ได้แถลงข่าวการค้นพบนี้ในงานประชุมทางวิทยาศาสตร์ที่ Arolla และได้มีการตีพิมพ์ในวารสาร Nature

การค้นพบใหม่นี้เป็นที่สนใจของนักชีววิทยาหลายคนที่กำลังศึกษาเรื่องการจำกัดแคลอรีที่มีผลต่อความแก่ ว่าช่วยเพิ่มอายุขัยของสัตว์ทดลอง โดยอาหารจำกัดแคลอรีน้อยกว่าปกติ 30% จะสามารถเพิ่มวงจรชีวิตของหนูทดลองได้ 30-50% ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หวังว่าจะให้ผลต่อคนในแบบเดียวกับหนู

ถึงแม้ว่าต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะรู้ถึงผลของ resveratrol ที่มีต่อคน แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานวิจัยนี้ก็ได้เริ่มที่จะดื่มไวน์แดงกันแล้ว ซึ่งปริมาณ resveratrol ที่มีในไวน์แต่ละชนิดจะแตกต่างกัน resveratrol จะถูกสังเคราะห์โดยพืชที่อยู่ในภาวะขาดสารอาหารและมีการติดเชื้อรา สามารถพบได้ในเปลือกขององุ่นแดงและขาว แต่จะพบมากเป็น 10 เท่าในไวน์แดงเนื่องจากความแตกต่างของขบวนการผลิต นอกจากนี้ไวน์ที่ผลิตในบริเวณอากาศหนาวจะมี resveratrol มากกว่า อย่างไรก็ตาม resveratrol สลายตัวง่ายเมื่อสัมผัสอากาศ โดยอาจสลายตัวไปหมดภายใน 1 วันหลังจากที่เปิดขวดไวน์แล้ว นักวิทยาศาสตร์จึงกำลังพัฒนาดัดแปลงสารเคมี resveratrol ให้มีความคงตัวมากขึ้น

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today

Reviews Camcorders.

 

INVariety Copyright © 2009 Cookiez is Designed by Ipietoon for Free Blogger Template