![]() |
ไขมันมีประโยชน์ต่อร่างกาย !
แน่นอน ถ้าไม่มีไขมัน เวลาเราเคลื่อนไหว ทำอะไร คงจะเจ็บน่าดู เพราะอวัยวะภายในมันกระแทกกันเอง หรือไปกระแทกกับกระดูก ไขมันจะทำหน้าที่เหมือนเป็นกันชน หรือเบาะอย่างดีที่จะป้องกัน รวมทั้งยึดเหนี่ยวไม่ให้อวัยวะภายในร่างกาย เช่น ตับ ปอด หัวใจ ไต ลำไส้ และอื่น ๆ กระทบกระแทกกันซึ่งอาจเกิดอันตรายได้
ไขมันยังทำหน้าที่เป็นฉนวนป้องกันร่างกายสูญเสียความร้อน และเป็นเหมือนเสื้อกันหนาวให้กับร่างกายเราในเวลาที่อากาศเย็นๆ สังเกตไหมครับว่าคนผอมจะขี้หนาวกว่าคนอ้วน
ไขมันมีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดไขมันไม่อิ่มตัว ที่ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย และช่วยให้ผิวหนังมีสุขภาพดี แข็งแรงสดใส มีความชุ่มชื้น ไม่แข็งกระด้าง หากขาดกรดไขมันพวกนี้ จะทำให้ผิวหนังเป็นผื่น ไม่เรียบ เนียนสวย เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนคงไม่ชอบแน่
ที่กล่าวไว้แต่แรกว่า คนที่ไม่กินไขมันเลยจะทำให้ร่างกายขาดวิตามินได้ ก็เพราะไขมันเป็นตัวช่วยละลายวิตามิน เอ ดี อี และเค ทำให้ร่างกายเราสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ถ้าหากขาดวิตามินเหล่านี้ ย่อมทำให้เกิดความผิดปกติของร่างกายได้ เช่น ขาดวิตามินเอ ทำให้ร่างกายสูญเสียการมองเห็นในเวลากลางคืน หากขาดมากอาจถึงขั้นตาบอด ถ้าขาดวิตามินดี ก็มีผลทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนได้ เพราะวิตามินดีจะช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เป็นต้น
โคเลสเตอรอลที่หลายคนมองเห็นเป็นผู้ร้ายไปนั้น ก็เป็นไขมันชนิดหนึ่ง จริงๆ ร่ายกายเราสามารถสร้างขึ้นเองได้ที่ตับ แน่นอนสิ่งที่ร่างกายเราสร้างขึ้นมาเองก็ย่อมต้องเป็นประโยชน์ต่อร่างกายโคเลสเตอรอลจึงมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายมากมาย เช่น เป็นส่วนประกอบของเซลล์ประสาทและสมอง ช่วยสร้างฮอร์โมนเพศหญิงและเพศชาย สร้างน้ำดีในระบบทางเดินอาหารเพื่อช่วยการย่อยอาหารประเภทไขมัน ช่วยเปลี่ยนพลังงานแสงแดดให้เป็นวิตามินดี
รู้อย่างนี้แล้วไม่ใช่กินอาหารแบบไม่บันยะบันยังไปเสียล่ะครับ เพราะโคเลสเตอรอลมีทั้งตัวดีและตัวร้าย หากเราได้รับโคเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวเข้าไปมาก ก็จะเกิดมีโคเลสเตอรอลตัวร้ายมาก เจ้าพวกนี้จะไปเกาะตามผนังเส้นเลือด ผลที่ตามมาจะทำให้เส้นเลือดอุดตัน โดยเฉพาะที่สมองและหัวใจ จนเป็นอันตรายได้
มาถึงตรงนี้แล้ว คุณอาจต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อไขมันใหม่ได้แล้ว ไขมันคงไม่ใช่ศัตรูหมายเลขหนึ่งอย่างที่คิด แต่ถ้าจะกินไขมันก็คงต้องพิจารณาให้ดีก่อน เขามีข้อแนะนำไว้สำหรับการกินอาหารประเภทพลังงาน ซึ่งมีอยู่ 3 ชนิด คือ ไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต วันหนึ่ง ๆ เราควรได้รับพลังงานจากไขมัน ประมาณ 25 - 30 % จากโปรตีน 15 - 20 % ที่เหลืออีก 50 - 60 % มาจากคาร์โบไฮเดรต ถ้าเราใช้พลังงานวันละ 1,800 แคลอรี 30% ของ 1,800 แคลอรี ก็คือ 540 แคลอรี ไขมัน 1 กรัมให้พลังงาน 9 แคลอรี ดังนั้น เราควรได้รับไขมันจากอาหารไม่เกิน 60 กรัมต่อวัน
ไขมันพบได้ที่ส่วนใดของร่างกาย
หากถามคน 100 คน คำตอบที่ได้ต้องเป็น พุง แน่ ๆ จริง ๆ แล้ว ไขมันพบได้ตั้งหลายแห่งทั่วร่างกาย แต่ที่พบทั่วไป คือ ใต้ผิวหนัง และอยู่บนยอดไตทั้งสองด้านของคุณนั่นแหละ อย่างที่บอกว่า ไขมันเป็นเสมือนกันชนหรือเบาะให้กับอวัยวะภายใน จึงไม่น่าแปลกใจที่จะพบไขมันได้ตามอวัยวะภายในต่าง ๆ ในกล้ามเนื้อเองก็ยังมีไขมันอยู่ รวมทั้งที่ตับ สำหรับคุณผู้ชายแล้ว ไขมันมีแนวโน้มที่จะสะสมมากบริเวณหน้าอก ท้อง และก้น ผู้ชายอ้วนๆ ทั้งหลายจึงมีรูปร่างเหมือนลูกแอปเปิ้ล ส่วนคุณผู้หญิง ไขมันมีแนวโน้มจะไปสะสมมากที่เต้านม เอว และก้น รูปร่างจึงออกไปในแนวลูกแพร์ ทำไมไขมันจึงไปสะสมได้ต่างที่กันในระหว่างผู้ชายและผู้หญิง อะไรเป็นตัวกำหนด คำตอบก็คือฮอร์โมนเพศนั่นเอง ซึ่งได้แก่ เอสโตรเจน (estrogen) และเทสทอสเทอโรน (testosterone)
หากถามคน 100 คน คำตอบที่ได้ต้องเป็น พุง แน่ ๆ จริง ๆ แล้ว ไขมันพบได้ตั้งหลายแห่งทั่วร่างกาย แต่ที่พบทั่วไป คือ ใต้ผิวหนัง และอยู่บนยอดไตทั้งสองด้านของคุณนั่นแหละ อย่างที่บอกว่า ไขมันเป็นเสมือนกันชนหรือเบาะให้กับอวัยวะภายใน จึงไม่น่าแปลกใจที่จะพบไขมันได้ตามอวัยวะภายในต่าง ๆ ในกล้ามเนื้อเองก็ยังมีไขมันอยู่ รวมทั้งที่ตับ สำหรับคุณผู้ชายแล้ว ไขมันมีแนวโน้มที่จะสะสมมากบริเวณหน้าอก ท้อง และก้น ผู้ชายอ้วนๆ ทั้งหลายจึงมีรูปร่างเหมือนลูกแอปเปิ้ล ส่วนคุณผู้หญิง ไขมันมีแนวโน้มจะไปสะสมมากที่เต้านม เอว และก้น รูปร่างจึงออกไปในแนวลูกแพร์ ทำไมไขมันจึงไปสะสมได้ต่างที่กันในระหว่างผู้ชายและผู้หญิง อะไรเป็นตัวกำหนด คำตอบก็คือฮอร์โมนเพศนั่นเอง ซึ่งได้แก่ เอสโตรเจน (estrogen) และเทสทอสเทอโรน (testosterone)
ร่างกายเรามีเนื้อเยื่อไขมันอยู่ 2 ชนิด คือ ไขมันสีขาว (white fat) และไขมันสีน้ำตาล (brown fat) ไขมันสีขาวมีความสำคัญในการเผาผลาญเพื่อให้ได้พลังงาน ทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความเย็น และเป็นเสมือนเบาะกันกระแทก ส่วนไขมันสีน้ำตาล ส่วนใหญ่จะพบในเด็กทารก โดยพบมากบริเวณไหล่ มีความสำคัญในแง่ของการให้พลังงาน เด็กทารกยังไม่มีไขมันสีขาว ยังไม่มีฉนวนที่จะกันความเย็น เราจึงต้องคอยเอาผ้าพันให้ความอบอุ่นกับทารกไงล่ะครับ
ทารกในครรภ์จะเริ่มสร้างเซลล์ไขมันประมาณระยะ 3 เดือนก่อนการคลอด และจะมีการสร้างอีกเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเพศเริ่มทำงาน ช่วงนี้แหละที่การกระจายของไขมันเริ่มมีความแตกต่างกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิง เด็กวัยรุ่นก็จะเริ่มมีรูปมีร่างปรากฏชัดเจนขึ้น
ไขมันเข้าไปในร่างกายได้อย่างไร
เรามาดูกลไกที่แสนวิเศษของร่างกายเรา ว่าสามารถเอาไขมันจากอาหารไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร เริ่มจากเมื่อเรากินอาหารที่มีไขมันเข้าไป แล้วไขมันซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปไตรกลีเซอร์ไรด์ (triglyceride) ถูกทำให้แตกตัวที่ลำไส้อย่างไร จากนั้นถูกดูดซึม และเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ใครที่ชอบเล่นจิ๊กซอว์อาจจะมองเห็นภาพได้ง่าย เริ่มจาก.
เรามาดูกลไกที่แสนวิเศษของร่างกายเรา ว่าสามารถเอาไขมันจากอาหารไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร เริ่มจากเมื่อเรากินอาหารที่มีไขมันเข้าไป แล้วไขมันซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปไตรกลีเซอร์ไรด์ (triglyceride) ถูกทำให้แตกตัวที่ลำไส้อย่างไร จากนั้นถูกดูดซึม และเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ใครที่ชอบเล่นจิ๊กซอว์อาจจะมองเห็นภาพได้ง่าย เริ่มจาก.
น้ำดีจากถุงน้ำดีผสมกับเม็ดไขมันขนาดใหญ่ ทำให้เม็ดไขมันแตกออกเป็นเม็ดเล็กๆ เรียกว่า ไมเซลล์(micelle) จากนั้นตับอ่อนจะหลั่งเอนไซม์ไลเปส(lipase) ไปจับที่ผิวของไมเซลล์ทำให้ไขมันยิ่งแตกตัวเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ลงไปอีก ประกอบด้วย กลีเซอรอล(glycerol) และกรดไขมัน(fatty acid) ซึ่งจะถูกดูดซึมเข้าไปในเซลล์บุลำไส้ หลังจากนั้นเจ้าพวกชิ้นส่วนเล็กๆ นี้จะถูกประกอบขึ้นใหม่เป็นโมเลกุลไขมันที่เรียกว่า ไคโลไมครอน (chylomicron) และมีสารโปรตีนมาเคลือบ จึงจะทำให้ไขมันละลายน้ำได้ง่ายขึ้น หลังจากนั้นไคโลไมครอนก็จะถูกปล่อยเข้าไปในระบบน้ำเหลือง ซึ่งจะไปบรรจบกับหลอดเลือดดำ โมเลกุลไขมันนี้ก็จะเข้าไปในกระแสเลือดและส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้
เราคงสงสัยว่าทำไมโมเลกุลไขมันไม่เข้าไปในกระแสเลือดทันที ต้องไปผ่านระบบน้ำเหลืองก่อน ที่เป็นอย่างนี้เพราะมันตัวใหญ่เกินกว่าที่จะผ่านผนังของเส้นเลือดฝอยได้ บางคนอาจสงสัยต่อว่า เมื่อต้องเอากลีเซอรอลและกรดไขมันมาประกอบใหม่เป็นโมเลกุลไขมัน ทำไมร่างกายไม่ดูดซึมเอาโมเลกุลไขมันเข้าไปโดยตรงเลย ไม่สะดวกกว่าหรือ ไม่ต้องมาถอดแล้วประกอบให้เสียเวลา คำตอบคือ ไม่ได้ เพราะโมเลกุลไขมันใหญ่เกินกว่าจะผ่านผนังเซลล์ได้ เปรียบเหมือนกับเราซื้อตู้เสื้อผ้า จะขนเข้าห้องก็ไม่ได้ เพราะประตูมันเล็ก มี 2 วิธี คือ ทำให้ประตูมันใหญ่ขึ้น หรือถอดตู้เสื้อผ้าออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ คงไม่มีใครเลือกวิธีทำให้ประตูมันใหญ่ขึ้น เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะและยุ่งยากกว่า เผลอๆ ทำความเสียหายให้กับตัวบ้านได้ วิธีที่เหมาะคือ ทำการน็อคดาวน์หรือถอดตู้เสื้อผ้าเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำเข้าไปประกอบใหม่ดีกว่า {mospagebreak}
![]() |
ไขมันถูกเก็บในร่างกายได้อย่างไร
โมเลกุลไขมันที่เข้าไปในกระแสเลือดนั้น จะอยู่ได้ประมาณ 8 นาที ก็จะถูกเอนไซม์ที่เรียกว่า ไลโปโปรตีน ไลเปส (lipoprotein lipase) ทำให้แตกตัวเป็นกรดไขมัน เอนไซม์พวกนี้พบได้ในผนังเส้นเลือดในเนื้อเยื่อไขมัน เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ และกล้ามเนื้อหัวใจ การทำงานของเอนไซม์ไลโปโปรตีนไลเปสจะขึ้นอยู่กับระดับของอินซูลิน (insulin) ในร่างกาย ยิ่งอินซูลินมาก เอนไซม์ไลเปสก็จะคึกคักเป็นพิเศษ ถ้าอินซูลินน้อย ไลเปสก็พลอยขี้เกียจไปด้วย
โมเลกุลไขมันที่เข้าไปในกระแสเลือดนั้น จะอยู่ได้ประมาณ 8 นาที ก็จะถูกเอนไซม์ที่เรียกว่า ไลโปโปรตีน ไลเปส (lipoprotein lipase) ทำให้แตกตัวเป็นกรดไขมัน เอนไซม์พวกนี้พบได้ในผนังเส้นเลือดในเนื้อเยื่อไขมัน เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ และกล้ามเนื้อหัวใจ การทำงานของเอนไซม์ไลโปโปรตีนไลเปสจะขึ้นอยู่กับระดับของอินซูลิน (insulin) ในร่างกาย ยิ่งอินซูลินมาก เอนไซม์ไลเปสก็จะคึกคักเป็นพิเศษ ถ้าอินซูลินน้อย ไลเปสก็พลอยขี้เกียจไปด้วย
กรดไขมันจะถูกดูดซึมจากเลือดเข้ามาในเซลล์ไขมัน เซลล์กล้ามเนื้อ และเซลล์ตับ จากนั้นจะถูกเปลี่ยนเป็นโมเลกุลไขมันโดยการกระตุ้นของอินซูลิน
สำหรับคนที่อ้วนนั้น อย่าเข้าใจผิดว่าเซลล์ไขมันจะมีมากขึ้น แต่เซลล์ไขมันมีการเก็บสะสมไขมันจนมีขนาดโตขึ้นต่างหาก คนที่ผอมอย่านึกว่าตัวเองไม่มีเซลล์ไขมัน แล้วเอาแต่กิน ๆ นอน ๆ นะครับ มีเหมือนคนอ้วนนั่นแหละครับ และพร้อมจะอ้วนด้วย หากปล่อยให้ร่างกายได้รับพลังงานเข้าไป มากกว่าความจำเป็นที่ต้องใช้อยู่เรื่อย ๆ
ถ้าเราอดอาหารจะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าเราไม่ได้กินอะไรเลย ก็ไม่มีอาหารให้ร่างกายดูดซึม ร่างกายก็ไม่ปล่อยอินซูลินเข้าไปในกระแสเลือด หรือปล่อยก็น้อยมาก แต่ในเมื่อร่างกายเรายังจำเป็นต้องใช้พลังงาน แต่พลังงานจากอาหารไม่มี เพราะเราไม่ได้กิน ร่างกายเราก็จะหลั่งฮอร์โมนจากต่อมต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน มาเป็นพลังงาน และเอาไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของร่างกาย
ถ้าเราไม่ได้กินอะไรเลย ก็ไม่มีอาหารให้ร่างกายดูดซึม ร่างกายก็ไม่ปล่อยอินซูลินเข้าไปในกระแสเลือด หรือปล่อยก็น้อยมาก แต่ในเมื่อร่างกายเรายังจำเป็นต้องใช้พลังงาน แต่พลังงานจากอาหารไม่มี เพราะเราไม่ได้กิน ร่างกายเราก็จะหลั่งฮอร์โมนจากต่อมต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน มาเป็นพลังงาน และเอาไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของร่างกาย
บางคนคิดว่าตอนนอนร่างกายเราคงไม่ได้ใช้พลังงานอะไร อันนี้คิดผิดครับ ร่างกายที่ไม่ใช้พลังงานทำกิจกรรมต่าง ๆ ก็มีแต่คนตายเท่านั้น หัวใจเต้นก็ต้องใช้พลังงาน หายใจก็ต้องใช้พลังงาน แม้แต่สมองที่จะสั่งการหรือคิด ก็ยังต้องใช้พลังงานเลย เอ๊ะ.. ยังงี้ ถ้าจะลดความอ้วน อดอาหารก็ช่วยได้สบายเลยน่ะซี่ น้ำหนักคงจะลดแน่ แต่คงเป็นโรคขาดสารอาหารตายไปซะก่อน
จะลดน้ำหนักต้องลดไขมัน
เมื่อได้ทราบถึงกระบวนการที่ร่างกายสร้างและใช้ไขมันแล้ว ก็คงจะมองเห็นได้ว่าทำไมเราถึงได้อ้วน และจะลดความอ้วนได้อย่างไร หากอัตราที่เราได้รับพลังงานสูงมากกว่าที่เราใช้พลังงานแล้ว แน่นอนว่าย่อมมีพลังงานเหลือเก็บ ถ้าเก็บมากเข้า ๆ ไม่ช้าเราก็จะอ้วน เพราะสะสมไขมันไว้เยอะ วิธีที่จะคงน้ำหนักเพื่อให้เรามีสุขภาพที่ดีนั้น ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า ต้อง
เมื่อได้ทราบถึงกระบวนการที่ร่างกายสร้างและใช้ไขมันแล้ว ก็คงจะมองเห็นได้ว่าทำไมเราถึงได้อ้วน และจะลดความอ้วนได้อย่างไร หากอัตราที่เราได้รับพลังงานสูงมากกว่าที่เราใช้พลังงานแล้ว แน่นอนว่าย่อมมีพลังงานเหลือเก็บ ถ้าเก็บมากเข้า ๆ ไม่ช้าเราก็จะอ้วน เพราะสะสมไขมันไว้เยอะ วิธีที่จะคงน้ำหนักเพื่อให้เรามีสุขภาพที่ดีนั้น ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า ต้อง
- กินอาหารให้มีสัดส่วนที่เหมาะสมของกลูโคส ไขมัน และโปรตีน
- อย่ากินมากจนเกินไป คนส่วนใหญ่ได้รับพลังงาน 1,500 ถึง 2,000 แคลอรีต่อวัน ก็เพียงพอแล้ว ยกเว้นว่าเราต้องทำงานใช้แรงงานมาก ก็ต้องได้รับพลังงานเพิ่มขึ้น
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แค่สัปดาห์ละ 3 วัน วันละครึ่งชั่วโมง ก็ใช้ได้แล้ว อย่าออกจนหักโหม เดี๋ยวหัวใจจะวายซะก่อน น้ำหนักจะลด แค่การเดินติดต่อกันครึ่งชั่วโมงก็ได้ประโยชน์แล้วล่ะครับ
กว่าที่เราจะอ้วนขึ้นมานั้น ต้องใช้เวลาสะสมไขมันมาไม่ใช่น้อย บางทีเราเองยังไม่รู้ตัวเลยว่าเราอ้วนแล้ว จนกว่าจะมีใครมาทัก (ซึ่งส่วนใหญ่ มักจะทักด้วยวาจาที่ฟังแล้ว อยากสมนาคุณด้วยอวัยวะที่ใช้เดิน) ดังนั้นการที่จะทำให้น้ำหนักลด ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ถึงกับหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางอย่างมาช่วย ซึ่งบางชนิดก็มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย บางอย่างก็ช่วยดูดไขมันไว้ก่อนที่ร่างกายเราจะทำการย่อยสลาย บางอย่างก็ทำให้ท้องเราอิ่มจะได้ไม่ต้องกินอาหารอื่นๆ มาก ซึ่งแต่ละอย่างก็มีผลเสียมากน้อยแตกต่างกันไป ตั้งแต่เป็นโรคท้องผูก ท้องเสีย ไปจนถึงโรคขาดสารอาหาร
บางคนก็ลดความอ้วนโดยวิธีอดอาหารบางมื้อ ซึ่งเป็นสิ่งไม่ควรทำอย่างยิ่ง และที่อันตรายที่สุดคือการใช้ยาลดความอ้วนชนิดกดความอยากอาหาร ซึ่งจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท หากใช้ไปนานๆ จะทำให้ติดยา เสียทั้งร่างกายและจิตใจ จากคนที่เรียบร้อยอ่อนโยนกลายเป็นคนก้าวร้าว จนถึงเป็นโรคจิตประสาทในที่สุด ที่สำคัญคือการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและยามาช่วยลดความอ้วนนั้น ไม่ได้ทำให้น้ำหนักเราลดลงอย่างถาวรเลย หากพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตประจำวันไม่เปลี่ยนแปลง พอหยุดใช้ก็จะกลับมาอ้วนอีก ถ้าจะพูดกลับกัน ก็คือ หากเราเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตประจำวันเสียใหม่ตามข้อแนะนำข้างต้น ก็ไม่จำเป็นต้องไปใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ เลย
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น